เกษียณแล้วทำอะไรดี ?

“เกษียณแล้วพี่จะทำอะไร?” คือคำถามยอดฮิตที่ได้ยินบ่อยมากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้  กลางเดือนกันยายนซึ่งอีก 3 เดือนนิดๆ ก็จะเกษียณ ในปีที่อายุจะครบ 60 สำหรับพนักงานบริษัทที่เกษียณเมื่อ 31 ธันวาคม ไม่เหมือนข้าราชการที่เกษียณตอน 30 กันยายนตามปีงบประมาณ

บางทีผมก็ถามกลับว่า ทำไมต้องทำอะไรด้วย เกษียณก็คือหยุดทำงานแล้วไง หลายคนก็บอก น่าจะหาอะไรทำงานต่อได้ เห็นพี่ยังฟิต ยังดูแข็งแรง ไม่เหมือนคนอายุ 60 ยังกะซัก 50 ต้นๆ อย่างมากไม่เกิน 55 (ห้าสิบห้านะ ไม่ใช่ ฮ่า ฮ่า) ส่วนหนึ่งอาจเพราะเขาพูดปลอบใจให้ดูดี ส่วนหนึ่งอาจเพราะทรงผมและการแต่งตัวของผมไม่ค่อยจะเหมือนคนรุ่นราวคราวเดียวกัน อีกส่วนหนึ่งอาจเพราะผมหน้าแก่ตั้งแต่ไหนแต่ไร น้องๆ ที่คุ้นเคยกันมานานเลยเห็นหน้าผมคงเส้นคงวา นี่คือข้อดีของหน้าแก่เร็วแต่แก่คงที่ เพราะหลายคนที่เดิมหน้าอ่อนเยาว์กว่าภายหลังหน้าแก่แซงเรา 555 (อันนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า) สมัยเรียนปี 1 ผมเป็นนักกีฬายิงปืนของคณะ (ปืนสั้นอัดลมเบอร์ 1 ยิงเป้ากระดาษวงกลมระยะ 10 เมตร) ท่ายิงปืนผมจะประหลาดกว่าชาวบ้านนิดเพราะผมถนัดมือขวาแต่ดันถนัดตาซ้าย (cross dominance คือถนัดมือข้างนึง แต่ถนัดตาอีกข้างนึง กรณีผมเป็น left-eye dominant แบบ Tom Cruise ในหนังเรื่อง Top Gun ปานนั้นเลย!) เวลายิงปืนเลยต้องเบือนหน้าไปทางขวาเพื่อใช้ตาซ้ายเล็ง ระหว่างกำลังซ้อมอยู่ในสนามยิงปืนในมหา’ลัย มีหนุ่มๆ กลุ่มนึงมาดูเราซ้อม ผมจำหน้าได้ว่ากลุ่มนี้เป็นรุ่นพี่ปี 2 คณะติดๆ กันที่เคยมาเหล่สาว (สำนวนสมัยโน้น) เฟรสชี่ คณะผม เขาเข้ามาตีซี้ เลียบๆ เคียงๆ ผม แล้วก็เอ่ยปากว่า “พี่ครับ! สอนผมยิงปืนหน่อยครับ” ผมรีบตอบไปว่า “ครับผมพี่ ผมแนะนำให้ครับ” อีกทีตอนเรียนปี 3 กำลังทำ lab อยู่ มีคนเดินเข้ามาหาพูดว่า “อาจารย์ครับ! ผมอาจารย์…จากมหาวิทยาลัย…  ห้องอาจารย์… อยู่ที่ไหนครับ” ผมรีบยกมือไหว้แล้วบอก “สวัสดีครับอาจารย์ ผมยังเป็นนิสิตครับ ห้องอาจารย์… อยู่ทางนั้นครับ เดี๋ยวผมพาไปครับ”

คำตอบผมคือ

“พัก อยู่กับครอบครัว อ่านหนังสือ ท่องเที่ยว วิ่ง ปั่นจักรยาน ตีกอล์ฟ หรือไม่ก็สอนหนังสือ กับอีกอันที่อยากเป็นคือ activist เรื่องความปลอดภัยในการปั่นจักรยาน” คือคำตอบ

แต่ในใจก็คิดว่า ทำไมต้องทำ “งาน” อะไรด้วย ก็มุ่งมั่นทุ่มเทเกินร้อยกับการทำงานมาสามสิบกว่าปีแล้ว ไปถึงที่ทำงาน 7 โมงเช้า กว่าจะออกจากที่ทำงานก็เกินสองทุ่ม เกือบจะทุกวันมาตลอด ยกเว้นปีสุดท้ายเนี่ยแหละ ที่ยังไปเช้าอยู่แต่ไม่กลับค่ำแล้ว เพราะงานไม่ยุ่งเหมือนแต่ก่อน ที่เคยประชุมเยอะแยะ calendar แทบจะไม่มี slot ว่าง จนต้องหกโมงเย็นไปแล้วแหละ ถึงจะมีเวลาสงบ เช็ค email และทำงานเรื่องอื่นๆ ที่ต้องใช้สมาธิต้องคิดวางแผน ฯลฯ ที่ต้องทำคนเดียว อีกอย่างที่ตอนนี้ต้องกลับเร็วเพราะคุณพ่ออายุ 94 ส่วนคุณแม่อายุ 90 ทั้งสองท่านก็ไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว เป็นไปตามวัย เดินก็ไม่ค่อยได้แล้ว คุณพ่อต้องใช้ walker คุณแม่ต้องใช้ไม้เท้าและมีคนช่วยพยุง เดือนเมษายนก็เคยล้มแขนหักไปทีนึง คุณพ่อสมองยังดีอยู่แต่ก็ช้าหน่อย ส่วนคุณแม่หลงลืมไปเยอะแล้ว แต่ยังพอจำลูกหลานได้ ยังดีที่ทั้งสองยังทานอาหารเองได้อยู่ ภรรยาผมจะทำอาหารอาหารเย็นที่เคี้ยวง่าย ไม่เผ็ดที่ทั้งสองชอบ ผมก็มีหน้าที่นำอาหารไปให้ เพราะบ้านอยู่ติดกัน มีประตูเล็กเชื่อมบ้านคุณพ่อคุณแม่กับบ้านครอบครัวผม ช่วงก่อนหน้านี้ก็ทำงานแล้วก็ละเลยไม่ค่อยได้ไปบ้านคุณพ่อคุณแม่บ่อยเท่าที่ควร ซึ่งตอนนั้นทั้งสองท่านแข็งแรงกว่านี้มาปีสองปีนี้ ที่ชราลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แล้วผมยังต้องไปทำงานที่อินโดนีเซียซะ 2 ปีเศษ เพิ่งย้ายกลับไทยต้นปีนี้ ที่เป็นปีสุดท้ายของการทำงาน ปีนี้ก็เลยได้มีโอกาสไปหาคุณพ่อคุณแม่ได้บ่อยขึ้น ได้ไปแทบทุกวัน ยกเว้นบางวันที่มีงานตอนกลางคืน หลังจากนำอาหารไปให้คุณพ่อคุณแม่แล้ว ผมก็จะออกไปวิ่งสัก 5 กม. ก็ราวๆ 45 นาที แล้วค่อยกลับมาอาบน้ำและกินอาหารเย็น นี่คือวันที่ตอนเช้าขี้เกียจ ไม่ยอมตื่น ก็วิ่งตอนเย็นแทน แต่ถ้าวันไหนขยันตื่นหน่อย ได้ไปวิ่งเช้าแล้วก็ไม่วิ่งเย็น ผมพยายามวิ่งราวๆ เดือนละ 100+ กม. หรือถ้าไม่วิ่งก็ออกไปปั่นจักรยาน ส่วนคุณพ่อของภรรยาเสียชีวิตไป 5 ปีแล้ว ส่วนคุณแม่ภรรยาก็จำความไม่ได้แล้ว เป็นผู้ป่วยติดเตียง ภรรยาผมลาออกจากงาน (early retirement) เมื่อ 6 ปีก่อนเพื่อจะได้มีเวลาไปดูแลคุณแม่ ช่วยกับพี่น้องของภรรยา ภรรยากับผมเกิดปีเดียวกัน เป็นเพื่อนเรียนมหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกัน คุณพ่อภรรยากับคุณพ่อผมเกิดปีเดียวกัน คุณแม่ภรรยากับคุณแม่ผมก็เกิดปีเดียวกันอีก ทั้งสี่ท่านอายุยืนกันหมด ผมเคยเปรยกับภรรยาว่า ดู track record กับพันธุกรรมแล้ว ท่าทางเราก็น่าจะอายุยืนทั้งคู่นะ ภรรยาบอกว่า ใช่ ถ้าผมไม่ไปโดยรถชนตายเวลาออกไปปั่นจักรยานซะก่อน! เอิ่ม! นี่แสดงว่าเค้ารักและเป็นห่วงเรานะ

เพราะฉะนั้น พัก คือคำตอบแรก ที่จะทำหลังเกษียณ

เมื่อพัก ก็จะได้ใช้เวลากับภรรยา กับครอบครัวได้มากขึ้นกว่าสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ที่กลับบ้านค่ำทุกวันทำงาน บางครั้งก็ยังต้องมีงานวันหยุดหรือกลางคืนอีก และแต่ก่อนก็ยังต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดและต่างประเทศบ่อยๆ อีกต่างหาก มีอยู่ปีนึงจำได้ว่าต้องไปประชุม/สัมมนา ต่างประเทศ 8 ทริปในปีเดียว ซึ่งเป็นทริปยุโรปกับอเมริกาล้วนๆ จนชื่อขึ้นท็อปๆ ในบริษัทในเรื่องการเดินทาง มีอยู่ทีนึงไปอเมริกาสัปดาห์เศษๆ กลับมาไทยได้สัปดาห์นึง แล้วก็ต้องไปอเมริกาอีกสัปดาห์เศษๆ จนมีคนแซวว่าพี่บินถี่กว่าแอร์กับสจ๊วตอีกนะ  ปลายปีนั้นถึงกับต้องไปพบหมอเนื่องจากอาการไซนัสอักเสบกำเริบ จากการที่บินขึ้นบินลงบ่อยเกิน หลังจากเกษียณ ก็จะได้มีเวลาอยู่บ้านหรือไปไหนมาไหนกับภรรยาได้บ่อยขึ้นกว่าเดิม

อีกอย่างที่เงื้อไว้เลยคืออ่านหนังสือ ผมชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจตั้งแต่เด็ก ส่วนหนึ่งน่าจะติดมาจากคุณพ่อ เพราะคุณพ่อก็ชอบอ่านหนังสือมาก และชอบเขียนหนังสือด้วย เด็กๆ ผมอ่านหนังสือสารพัดอย่าง จนชินกับการอ่าน ผมจะประหลาดจากคนทั่วไปนิดตรงที่เวลาเห็นภาพกับตัวอักษรอยู่ด้วยกัน มักจะอดไม่ได้ที่จะต้องอ่านก่อนที่จะมองภาพ ตอนเด็กๆ กับตอนหนุ่มๆ อ่านหนังสือสารพัดทั้งนวนิยายและพวก non-fiction และส่วนใหญ่มักจะอ่านหนังสือภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทย คงเพราะหนังสือภาษาอังกฤษมีตัวเลือกของเรื่องราวที่สนใจอยากอ่านมากกว่าหนังสือภาษาไทย บางทีอ่านหนังสือจนถึงตีหนึ่งตีสอง แต่ก็ยังตื่นเช้าได้เพราะยังหนุ่มแน่น ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้อ่านพวกนวนิยายหรือ fiction เลย ยกเว้น Harry Potter สัก 3-4 ตอนแรกแล้วก็หยุดตาม เพราะส่วนใหญ่แล้วยี่สิบกว่าปีมานี้ อ่านแต่หนังสือที่เกี่ยวข้องกับการทำงานทั้งนั้น แต่ก่อนเวลาไปห้างก็อดไม่ได้ที่จะแวะเวียนเข้าร้าน Asia Books หรือ Kinokuniya ซื้อหนังสือที่ Asia Books บ่อยจนเขาทำบัตรสมาชิกส่วนลดตลอดชีพให้ แต่ราวสิบปีที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้ซื้อหนังสือที่เป็นกระดาษแล้ว หันมาซื้อ e-book บน Kindle แทน พอเกษียณแล้ว ทีนี้แหละ จะได้อ่านหนังสืออื่นๆ ที่อยากจะอ่านซะที บางครั้งเราอาจมองว่าการอ่านหนังสือเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะ passive แบบดูหนัง ดูทีวี แต่จริงๆ แล้ว เค้าว่าการอ่านหนังสือนั้น active กว่าดูหนังดูทีวี เพราะไม่มีภาพให้เห็น แต่สมองเราต้องจินตนาการตัวอักษรที่เราอ่านให้เป็นภาพอยู่ในสมอง ท่านว่าเป็นการออกกำลังสมอง ช่วยชะลอสมองฝ่อได้ ลองเทียบดูก็ได้ว่าระหว่างการดูหนัง Harry Potter กับการอ่าน Harry Potter อย่างไหนต้องใช้สมองมากกว่ากัน

แล้วก็ท่องเที่ยวกับภรรยา ก็เป็นอีกอย่างที่เราชอบ แต่เนื่องจากเป็นห่วงคุณพ่อคุณแม่ ก็เลยไม่กล้าไปไกล ไม่ได้ไปท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือแม้แต่ไปท่องเที่ยวค้างคืนต่างจังหวัด ปีนี้ส่วนใหญ่ก็เลยได้แต่ไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ ช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หลังเกษียณก็จะได้ไปเที่ยววันธรรมดาบ้าง เมืองไทยทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล มีที่ท่องเที่ยวสถานที่สวยงามเยอะแยะมากมายที่ยังไม่ได้ไป บางทีเราไปเที่ยวต่างประเทศ ไปชมโบสถ์ฝรั่ง แต่หารู้ไม่ว่าวัดเมืองไทย สวยงามหยดย้อยไม่แพ้โบสถ์ฝรั่ง หรืออาจจะสวยงามอ่อนช้อยกว่าซะด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ วิหาร ฯลฯ แม้แต่วัดเล็กๆ หรือวัดที่ไม่ใช่วัดดังที่คนรู้จัก ก็ยังมีศิลปกรรมสวยๆ อยู่มากมาย เวลาไปเยี่ยมชมวัดเหล่านี้ บางครั้งเห็นแต่ชาวต่างชาติไปเยี่ยมชมกัน บางทีไม่เห็นคนไทยเลย นอกจากวัดก็ยังมีสถานที่สวยงามและน่าสนใจให้ไปท่องเที่ยวเยี่ยมชมอีกเยอะแยะ ที่เรายังไม่เคยไป ก็เลยกะว่า เกษียณแล้วก็จะได้ไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ แล้วยังสามารถไปวันธรรมดาได้ด้วย ไม่ต้องไปเบียดเสียดกับชาววัยทำงานทั้งหลาย ที่ได้เที่ยวเฉพาะวันหยุด เหมือนอย่างที่ ททท. เขาบอก ท่องเที่ยวทั่วไป ไม่ไปไม่รู้ อเมซิ่ง ไทยเท่

แล้วก็จะได้ออกกำลังกาย โดยเฉพาะเรื่องวิ่ง ผมมาเริ่มวิ่งเอาตอนอายุมากแล้ว คือตอนอายุเกือบจะ 50 ปี หลังจากหัวใจวายไปรอบนึง เคยวิ่งมาราธอนมา 4 ครั้งแล้ว สำหรับคนที่ไม่ใช่นักวิ่ง การวิ่งมาราธอนคือวิ่งระยะทาง 42.195 กม. หรือ 26.2 ไมล์ อย่างเช่นงานวิ่งกรุงเทพมาราธอน จะออก start จากสนามไชย แถวพระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว ขึ้นสะพานปิ่นเกล้า ไปทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี ไปสุดทางที่พุทธมณฑลสาย 2 แล้วก็ u-turn กลับมาขึ้นสะพานพระราม 8 ไปวนลานพระราชวังดุสิต พระบรมรูปทรงม้า อ้อมพระราชวังสวนจิตรลดา ไปจบที่สนามไชย และทุกวันนี้ก็ยังวิ่งสม่ำเสมออยู่ ผมวิ่งไม่เร็ว เพราะต้องคอยดู heart rate ไม่ให้ขึ้นสูงเกินไป ด้วยความเกรงใจหัวใจ และวิ่งสลับเดิน คือวิ่งสักพัก พอเริ่มจะเหนื่อย หัวใจเต้นเร็วเกิน ก็สลับมาเดินสักพัก แล้วค่อยวิ่งต่อ เรื่องวิ่งนี่ยาวววว ไว้จะค่อยๆ ทะยอยเล่า

ปั่นจักรยาน ก็เป็นอีกอย่างที่ชอบ เกษียณแล้วจะได้ไปปั่นจักรยานตามที่ต่างๆ กับภรรยา ภรรยาผมจะปั่นจักรยานเฉพาะสถานที่ปิด เช่นสวนสาธารณะที่ให้ปั่นจักรยานได้ ส่วนผมถ้าไปคนเดียว เส้นทางประจำคือเช้ามืดหรือเย็นๆ วันหยุด ที่รถยนต์ไม่ค่อยมาก ก็จะปั่นทางขนานถนนราชดำเนินเข้าเกาะรัตนโกสินทร์เป็นประจำ แต่เคยโดนรถแท็กซี่ชนกลิ้งไปหนนึง ก็เลยมีความใฝ่ฝันว่าหลังเกษียณแล้ว อย่างนึงที่อยากทำคือเป็น activist รณรงค์เรื่องความปลอดภัยของคนปั่นจักรยาน ทั้งที่ปั่นเพื่อออกกำลังกาย เพื่อสันทนาการ และเพื่อการสัญจรไปมา

อีกอย่างหลังเกษียณ จะได้มีเวลาไปตีกอล์ฟวันธรรมดา ซึ่งคงจะคนไม่แน่นมากแบบวันหยุด ที่ผ่านมาไม่ค่อยจะได้ไปเพราะกอล์ฟเป็นกีฬาที่กินเวลาพอควร ไม่เหมือนปั่นจักรยานหรือวิ่ง ชั่วโมงสองชั่วโมงก็พอแล้ว ในวัยทำงานมีเวลาแต่วันหยุด ก็อยากจะใช้เวลากับครอบครัวมากกว่าไปตีกอล์ฟ เพราะเวลาวันธรรมดาก็หมดไปกับการทำงานแล้ว แต่ช่วงไปทำงานที่อินโด ตีกอล์ฟเกือบทุกวันหยุด เพราะไม่รู้จะทำอะไร ตั้งแต่ย้ายกลับไทยยังไม่ได้ไปออกรอบสักครั้ง เกษียณแล้วไปตีกอล์ฟวันธรรมดาบ้าง น่าจะใช้เวลาไม่มากนักเพราะคนไม่มาก ก๊วนน่าจะไม่ติด หลายปีก่อนมีอยู่วันนึง เช้าอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปตีกอล์ฟ ภรรยาถามว่าทำไมใส่เสื้อโปโลแขนสั้นล่ะ แต่ก่อนเวลาไปตีกอล์ฟใส่เสื้อแขนยาวกันแดดไม่ใช่เหรอ ผมตอบเสียงแข็ง (ปากกล้าขาสั่น) กลับไปว่า สมัยนี้เค้าเลิกใส่แขนยาวตีกอล์ฟกันแล้ว เชย ไม่เห็นในทีวีเหรอ นักกอล์ฟ PGA เค้าใส่โปโลแขนสั้นกันทั้งนั้น เงียบไปนิดนึง ผมบอกไปละนะ หมุนตัวเตรียมเดินออกจากห้อง พลางได้ยินเสียงเปรยไล่หลังมาว่า “กีฬากอล์ฟนี่แปลกดีนะ แต่งตัวไม่เหมือนไปเล่นกีฬา แต่เหมือนแต่งตัวไปเที่ยว” คงไม่ต้องบอกนะครับว่าวันนั้นเพื่อนร่วมก๊วนรักผมมาก รุมกินผมกันอิ่มเอร็ดอร่อยกันทั่วหน้า

สมัยเรียนปริญญาตรีที่ ม. เกษตร บางเขน ภรรยากับผมเรียน เมเจอร์เดียวกัน คือ ชีววิทยา (Biology) พอเรียนจบปริญญาตรี ก็ได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ จาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในพิธิสมรสพระราชทาน จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่อเมริกาด้วยกัน ความตั้งใจตอนนั้นก็คือ จะไปต่อปริญญาโทไปจนถึงปริญญาเอก ด้านพันธุศาสตร์มนุษย์ (human genetics) แล้วก็จะกลับมาเป็นอาจารย์ที่ ม. เกษตร แต่แล้วก็จำเป็นต้องเบนเข็ม ในระหว่างที่เรียนปริญญาโทด้านชีววิทยาประชากร (population biology) ซึ่งใกล้เคียงกับ human genetics เพราะตอนที่สมัครไปมีอาจารย์ที่สอนวิชา human genetics ที่มหาวิทยาลัยนั้น ก็ตั้งใจว่าจะได้เป็นอาจารย์ที่ปรีกษา พอเดินทางไปถึงปรากฎว่าอาจารย์ท่านนั้นย้ายไปสอนมหาวิทยาลัยอื่นซะแล้ว เลยได้อาจารย์ด้าน population biology เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาแทน สมัยโน้น คือ ค.ศ. 1981 เทคโนโลยีการสื่อสารไม่เหมือนสมัยนี้ กว่าจะรู้ว่าอาจารย์ย้ายไปแล้วเราก็เดินทางไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยแล้ว ก็ยังคิดว่าไม่เป็นไร ไว้ไปเน้นตอนปริญญาเอก แต่แล้วก็ต้องเจอกับอุปสรรค เพราะผมเป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารเคมีต่างๆ ซึ่งจริงๆ ก็เริ่มออกอาการตั้งแต่ตอนเรียนปริญญาตรี และไปอาการหนักขึ้นตอนเรียนปริญญาโท ก็กัดฟันเรียนจนจบ แล้วก็ตัดสินใจว่า ถ้าจะไปต่อปริญญาเอกอีก ก็ต้องใช้ชีวิตในห้อง lab ต้องเจอกับสารเคมีต่างๆ อีกมากมาย ท่าจะไปไม่รอด เลยตัดสินใจเบนเข็มไปเรียนปริญญาโทอีกใบด้านการบริหารจัดการโดยเน้นที่การจัดการระบบสารสนเทศ (Systems Management with emphasis in Information Management System) ตอนจบโทใบแรกไปลาอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อไปทำโทอีกใบ ท่านอวยพรว่า หวังว่ายูจะไม่แพ้คีย์บอร์ดนะ ตอนนั้นถ้าจะต่อทางคอมพิวเตอร์เลย ก็จะโหดไปสักนิด เพราะไม่มีพื้นฐานที่แข็งแรงจากปริญญาตรี ก็เลยไปเรียน certificate ด้าน Business Data Processing คั่นซะปีนึงก่อน พอจบโทใบที่สองแล้วก็มาเริ่มทำงานที่บริษัท เริ่มที่ IT แล้วก็ผันไประบบการบริหารคุณภาพ (ตระกูล ISO 9000) เป็นอันว่าแทบจะไม่ได้ใช้ชีววิทยาที่ร่ำเรียนตรีโทมารวม 6 ปี จนผันไปทำเรื่องสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ค่อยได้รื้อฟื้นความรู้ทางชีววิทยาบ้าง เช่นเรื่องมลดภาวะ เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ หรือ biodiversity (ยุค digital ในปัจจุบัน พูดถึงเรื่อง ecosystem กันเยอะ คำนี้มีรากฐานมาจากชีววิทยาแหละ คือ ระบบนิเวศน์ กับ นิเวศน์วิทยาหรือ ecology ซึ่งเผอิญสมัยเรียนที่เกษตรผมเคยท็อปวิชานี้ซะด้วย) แล้วผันไปรับผิดชอบเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน (sustainable development หรือ SD) ไปทำเรื่อง strategic management (balanced scorecard) ผนวกกับ การพัฒนาองค์กร (organization development หรือ OD) เรื่อง coaching แล้วก็หันไปทำเรื่อง social business / social media พักนึง แล้วก็ไปทำเรื่อง SD ที่อินโดนีเซีย เป็นอันว่าเป็น ความหลากหลายในการทำงาน พอประมาณ รวมทั้งตลอดชีวิตการทำงาน ไม่เคยได้โยกย้ายไปแทนใครสักครั้ง เปิดหน้างานใหม่ทำงานเรื่องใหม่ๆ ตลอด ทำให้บ่อยครั้ง ที่ต้องไปค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ แล้วก็นำมาถ่ายทอดให้ความรู้ในบริษัท โดยเป็นวิทยากร และ กระบวนกร (facilitator) เป็นประจำ รวมทั้ง เป็น coach และ internal consultant ด้วย เป็นอันว่า ความตั้งใจเดิมที่จะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ก็ได้ทำหน้าที่คล้ายๆ อาจารย์ในบริษัทด้วย ก็เลยมีความคิดว่า หลังเกษียณอาจจะไปเป็นอาจารย์ หรือ วิทยากร หรือ facilitator หรือ coach หรือ consultant ตามแต่โอกาสจะอำนวย

ที่ว่าจะไปโน่นทำนี่ ทั้งหลายทั้งปวงนั้น หลักๆ แล้วจริงๆ ก็คืออยากจะพักแหละ ไม่ทำอะไร

แต่ก็มีคนเตือนว่า ถ้าไม่ทำอะไรระวังสมองฝ่อไวเกินควรนะ ในใจก็เคยคิดว่าเกษียณจากการทำงานแล้ว ก็คือการ shutdown (เหมือนปิดคอมพิวเตอร์) หรือ การปิดจ๊อบ เหมือนการจบการทำงานแต่ละชิ้น แต่ละโปรเจ็ค

แต่ก็มีอีกมุมมองคือ เกษียณแล้วต้อง shutdown ด้วยเหรอ

หรือว่าการเกษียณจากการทำงานที่บริษัทแล้ว ก็เสมือนการอ่านหนังสือจบไปบทหนึ่ง แล้วก็ถึงเวลาเริ่มต้นอ่านบทใหม่ หรือ open a new chapter in life ถ้าอย่างนั้นแล้ว บทใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นนี้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรดี

The best is yet to come . . .