Grandpa’s in the hospital 200326 – 200415

ช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ วันที่ 26 มีนาคม 2563 วันที่ พรก. ฉุกเฉิน เริ่มมีผลในประเทศไทย จนถึงวันนี้ วันที่ 15 เมษายน 2563 รวม 21 วันพอดี ผมก็มีความจำเป็นต้องฝ่าฝืนมาตรการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” โดยเฉพาะในส่วนของ “อยู่บ้าน” เพราะต้องขับรถออกจากบ้านทุกวันไม่ต่ำกว่าวันละ 2 รอบ ทั้งๆ ที่บางกรณีเขาจำแนกผมไว้ในกลุ่ม “ผู้เปราะบาง” คือผู้สูงอายุ 60+ แถมช่วงนี้ยังได้มีประสบการณ์ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวิกฤติที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือ เครื่อง ventilator ที่ใครๆ ก็พูดถึงว่าเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องจัดหาเพิ่มเติมเป็นการด่วนทั้งประเทศ และทั้งโลก เพื่อพยุงชีวิตผู้ป่วยวิกฤติที่ระบบหายใจไม่ทำงาน จากปอดอักเสบ/ปอดบวม อันเป็นผลมาจากการติดเชื้อ Coronavirus ที่มีชื่อเป็นทางการว่า COVID-19 ที่กำลังระบาดอย่างหนักไปทั่วโลก (pandemic)

เรื่องมีอยู่ว่า…

คุณปู่ (คือคุณปู่ของลูกผม) / คุณพ่อผม ซึ่งอีก 2 เดือนจะอายุครบ 95 ปี เพิ่งได้ออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้านในวันนี้ วันที่ 15 เมษายน 2563 หลังจากอยู่โรงพยาบาล 21 วัน (ในนั้นเป็น ICU ซะ 7 วันแรก ที่เหลืออีก 14 วันในห้องปรกติ) เนื่องจากคุณปู่มีอาการหอบ หายใจไม่สะดวกเมื่อบ่ายวันพฤหัสบดีที่ 26 มี.ค. 63 ก่อนหน้านั้นคืออังคารที่ 24/3 หลังอาหารเช้าอาเจียนนิดหน่อยแล้วก็มีไข้อ่อนๆ ได้ทาน Tylenol 1 เม็ด แล้วก็นอนพัก จากนั้นก็อาการดีขึ้น ไม่มีไข้ แต่ขับถ่ายน้อยลง วันพุธ 25/3 ก็ยังปกติดี สัปดาห์ก่อนหน้านั้นคือ พุธที่ 18/3 ไปพบแพทย์ที่ รพ. เพื่อฉีดยาลดความดันตา พฤหัสที่ 19/3 ก็ไปที่ รพ. อีกเพื่อแกะผ้าปิดตาออก แล้ววันศุกร์ที่ 20/3 ก็ไปตัดผมที่ร้านประจำ จริงๆ แล้วก็ขอร้องว่าไม่ต้องไปโรงพยาบาลเพราะมีความเสี่ยง แต่ก็ยืนยันจะไปเพราะถ้าไม่ไปฉีดยาตาตามรอบประจำ อาการสายตาจะแย่ลงเรื่อยๆ จนอาจทำให้มองไม่เห็น

จนบ่ายพฤหัสที่ 26/3 คุณพ่อหายใจไม่สะดวก หอบ ต้องหายใจทางปาก เลยตัดสินใจรีบพามาเข้า ER (Emergency Room – ห้องฉุกเฉิน) ที่โรงพยาบาล คุณหมอคุณพยาบาลก็รีบช่วย ด้วยการสอดท่อช่วยหายใจเข้าไปในปาก (ventilator) เครื่องมือแพทย์ที่ตอนนี้ใครๆ ก็พูดถึง เพราะเป็นเครื่องช่วยหายใจสำหรับผู้ป่วย COVID-19 ที่เชื้อเข้าปอดแล้วคนไข้เป็นปอดบวม/ปอดอักเสบ ไปรบกวนระบบทางเดินหายใจ เมื่อคุณพ่อเข้ามา รพ. ด้วยอาการระบบทางเดินหายใจแบบนี้ ก็เลยต้องซักประวัติเป็นการใหญ่ คุณหมอคุณพยาบาลแต่ละท่านก็ PPE เพียบ ทั้ง mask, face shield ถุงมือ ซึ่งก็เป็นธรรมดาเพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าคนไข้ที่มา ER แต่ละคนเป็นอะไรกันบ้าง แล้วก็ซักประวัติ ก็เลยเล่าให้ฟังว่าสัปดาห์ที่แล้วไปหาหมอที่ รพ. 2 ครั้ง ไปตัดผมครั้งนึง นอกนั้นอยู่บ้านตลอด คนใกล้ชิดก็ไม่ได้ไปไหน ผมและครอบครัวก็ไม่ได้ไปสถานที่เสี่ยงต่างๆ ไม่ได้ไปต่างประเทศปีกว่าแล้ว ไม่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยง ดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่ COVID-19 เขาก็ถามว่าจะตรวจไหม แต่เนื่องจากไม่มีประวัติเสี่ยง ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ก็เลยบอกไปว่าตรวจเหอะ เพราะอาการก็คล้ายๆ ที่เรารับทราบกัน และการที่ไป รพ. เมื่อสัปดาห์ก่อน ก็มีโอกาสรับเชื้อ ที่เรียกว่า Hospital-Acquired Infection (HAI) หรือ Health Care-Associated Infection (HCAI) ซึ่งเป็นเหตุผลที่ช่วงนี้ต้องงดผู้สูงอายุไป รพ. (ถ้าไม่ฉุกเฉินจำเป็นจริงๆ โดยถ้าต้องรับยาก็ให้ญาติหรือผู้อื่นไปรับแทน) จริงๆ ไม่ต้องผู้สูงอายุหรอก ช่วงนี้ไม่ว่าใครก็ไม่ควรไป รพ. นอกจากจำเป็นยิ่งยวดจริงๆ

จาก ER ก็ย้ายไปอยู่ห้อง ICU (Intensive Care Unit – หอผู้ป่วยวิกฤติ) วันแรกๆ ที่อยู่ ICU นอกจากหายใจไม่สะดวก ชีพจรเต้นเร็วและไม่สม่ำเสมอ ความดันสูงกว่าปกติ อัตราการใช้ออกซิเจนใช้ได้ อัตราการหายใจสูงกว่าปกติแล้ว คุณพ่อยังมีอาการท้องแข็ง ปริมาณเม็ดเลือดขาวสูง คุณหมอเจ้าของไข้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปอด นอกจากนั้นยังมีคุณหมอด้านลำไส้ คุณหมอด้านหัวใจ และคุณหมอประจำ ICU หมุนเวียนกันมารักษา เนื่องจากเม็ดเลือดขาวสูง และท้องแข็ง ขับถ่ายน้อยกว่าปกติ บวกกับไม่มีประวัติเสี่ยง อาการไม่บ่งชี้ไปยัง COVID-19 แต่บ่งชี้ไปยังการติดเชื้อแบคทีเรียซะมากกว่า ซึ่งอาจติดที่ลำไส้แล้วไปปอด หรือจากปอดไปลำไส้ก็เป็นได้ เพราะมีการปอดอักเสบบางส่วนด้วย ระหว่างนั้นก็ยังใช้เครื่องช่วยหายใจ (ventilator) อยู่ตลอดเพราะหายใจเองไม่ได้ ให้น้ำเกลือ ให้อาหารทางสายยาง แต่ก็ตอบสนองต่อการรักษาและยาดีขึ้นเป็นลำดับ ท้องนิ่มลง ลำไส้ทำงานดีขึ้น (จากที่วันแรกๆ ลำไส้ไม่ทำงานคือไม่เคลื่อนไหว) เม็ดเลือดขาวลงลด ไม่มีไข้ แสดงว่าเชื้อแบคทีเรียทะยอยลดลง

อาการก็ทรงๆ อยู่ ระหว่างนั้นก็รอผล Coronavirus ไปด้วย จนเย็นวันที่ 29/3 ซึ่งเป็นวันที่ 4 ใน ICU คุณพยาบาลก็แจ้งว่าได้ผล COVID-19 เป็นลบ ก็ค่อยสบายใจขึ้นบ้าง ว่าสรุปแล้วติดเชื้อแบคทีเรียจริงๆ

ก่อนหน้านั้น 1 วัน คือ 28/3 คุณหมอได้หรี่ ventilator และเริ่มให้หายใจเองร่วมกับเครื่อง พอ 29/3 ก็หรี่ ventilator ลงอีก เพิ่มหายใจเองอีก จน 30/5 ซึ่งเป็น Day 5 in ICU จึงได้ถอด ventilator ออก เปลี่ยนเป็นเครื่องช่วยหายใจแบบหน้ากากครอบปากจมูกแทน เข้าใจว่าเรียก BiPAP – Bilevel Positive Airway Pressure เครื่องช่วยหายใจที่ปรับความดันได้ทั้งหายใจเข้า Inhalation (IPAP) และ หายใจออก Exhalation (EPAP) คล้ายๆ กับเครื่อง CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) ที่ใช้บำบัดผู้มีอาการนอนกรน

พอถีงวันที่ 31/3 ซึ่งเป็น Day 6 in ICU ก็สามารถถอดเครื่อง BiPAP ออกได้ เปลี่ยนเป็นท่อออกซิเจนสอดทางจมูกแทน แบบที่มักเรียกกันว่าท่อหนวดกุ้ง หายใจเองได้ดี เริ่มให้อาหารอ่อน ก็ขับถ่ายได้ดี

ตลอดเวลานั้นก็ต้องผูกมือทั้งสองข้างไว้กับเตียงตลอด (โดยคุณพยาบาลนำฟอร์มมาให้ลงนามยินยอม) ถึงแม้ว่าจะรู้สึกตัวดีตลอด เพราะเกรงว่าอาจรำคาญแล้วระหว่างหลับๆ ตื่นๆ จะเผลอไปดึงท่อหายใจออกแล้วอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ที่น่าเห็นใจที่สุดคือคุณพ่อคงรำคาญมากที่ถูกผูกมือไว้ ถูกสอดท่อในปาก พูดก็ไม่ได้ แล้วก็ต้องนอนอยู่เฉยๆ หลายวัน ช่วงที่ถอดท่อออกแล้ว พอพูดได้ก็จะบ่นว่ารำคาญ บางครั้งก็นึกว่าอยู่ที่บ้าน ใน ICU เขาให้ญาติเยี่ยมได้ 3 ช่วง คือ เช้า บ่าย เย็น ตอนเริ่มพูดได้ก็จะถามโน่นถามนี่ บางครั้งเลยต้องกลับบ้านไปก่อนหมดเวลาเยี่ยมเพราะพออยู่ด้วยก็จะเรียกคุยและกระวนกระวายไม่ได้พัก ที่ทรมานใจมากคือตอนลาว่าจะกลับบ้านก่อนแล้วจะมาเยี่ยมใหม่ ก็จะเรียกไว้ไม่ให้ไป เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนลูกยังเล็กๆ แล้วพ่อแม่จะออกไปทำงานก็จะถูกลูกเรียกไว้ไม่ให้ไป

ที่ผ่านมานี้ก็ผมเลยจำเป็นต้องละเรื่อง “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ต้องออกจากบ้านมาเยี่ยมคุณพ่อด้วยความเป็นห่วงทุกวัน เช้า บ่าย-เย็น (คนอื่นในครอบครัวไม่ให้ไปเยี่ยม เพราะเสี่ยงติดเชื้อโรงพยาบาล) เกรงว่าคุณพ่อจะกระวนกระวายเพราะอยู่คนเดียว (ตามที่ทราบกันว่าไม่อนุญาตให้ญาตินอนเฝ้าใน ICU แต่จะจำกัดเวลาเยี่ยมเป็นช่วงๆ) พอจะเข้าบ้านก็ต้องเปลี่ยนชุดก่อนนอกตัวบ้าน แล้วรีบอาบน้ำสระผมทันที เกรงว่าตัวเราเองจะเจอ HAI / HCAI แล้วไปแพร่ครอบครัว แต่ที่ รพ. นี้ซึ่งเป็น รพ. เอกชน ก็มีการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อกันอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ รปภ. ที่ให้บัตรจอดรถใส่ทั้ง mask, face shield และ ถุงมือ ก่อนเข้าอาคารต้องผ่านจุดคัดกรอง ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ก่อน แล้วตรวจวัดอุณหภูมิ ติดสติกเกอร์ที่เสื้อ (สติกเกอร์สีตามวันเลย ตั้งแต่ พฤหัส-ส้ม, ศุกร์-ฟ้า, เสาร์-ม่วง, อาทิตย์-แดง, จันทร์-เหลือง, อังคาร-ชมพู, พุธ-เขียว) หน้าลิฟต์และในลิฟท์มีเจลแอลกอฮอล์ ในลิฟต์ตีเส้นและรูปเท้าให้ยืน social distancing หน้าห้องและในห้อง ICU แต่ละเตียงมีเจลแอลกอฮอล์ ช่วงแรกๆ ที่โรงพยาบาลนี้เขาเปลี่ยนชั้น 1 จาก OPD ทั่วๆ ไป เป็นพื้นที่สำหรับ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน Acute Respiratory Infection (ARI) เข้าใจว่าทั้งประวัติเสี่ยง COVID-19 และ อื่นๆ ที่อาการคล้ายกัน ถัดมาไม่กี่วันเขาก็ seal ปิดกั้นแยกโซนชั้น 1 เป็นเฉพาะ ARI อย่างเดียวเลย คนไข้อื่นๆ / เยี่ยมไข้ ให้เข้าออกชั้น 2 ที่มีทางเชื่อมกับอาคารจอดรถ

จนถึงเช้าวันที่ 4/1 ซึ่งเป็น Day 7 ของการอยู่ ICU คุณหมอก็บอกว่าดูอาการและสัญญาณต่างๆ แล้ว สามารถย้ายจากห้อง ICU ไปอยู่ห้องปรกติได้ พอช่วงบ่ายก็ได้ย้ายมาห้องปรกติ ใน ward ผู้ป่วยหัวใจ ตอนนี้ยังให้ออกซิเจนผ่านสายยางในจมูก แต่ก็หายใจเองได้ดีแล้ว ยังคงให้อาหารทางท่ออยู่ เนื่องจากยังมีเสมหะบ้าง อาการอื่นๆ โดยทั่วไปดีขึ้นเป็นลำดับ

คุณหมอที่ดูแลมี 3 ท่านด้วยกัน คือคุณหมอด้านปอด ซึ่งเป็นเจ้าของไข้ คุณหมอด้านหัวใจ และ คุณหมอด้านการติดเชื้อ ช่วงที่อยู่ ICU มีอีก 2 ท่านคือคุณหมอด้านลำไส้ และ คุณหมอประจำ ICU Ward

คาดว่าจากนี้น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ จนกลับบ้านได้ ก็โชคดีไปอย่างที่ต้นปีนี้เกษียณพอดี ไม่มีภาระกับการทำงาน ก็เลยสะดวกในการมาดูแลคุณพ่อ แต่ที่ไม่สะดวกก็คือต้องออกจากบ้านทุกวันและป้องกันระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่ไม่ให้ตัวเองติดเชื้อแล้วไปแพร่ระบาดต่อ

Day 8 วันที่ 2 เมษายน ช่วงเช้ายังคงต้องให้อาหารทางท่ออยู่ ที่เรียกว่า Nasogastric (NG) Intubation & Feeding มื้อเที่ยงได้ทานโจ๊กปั่นครึ่งชาม ตอนเย็นกลับมาเป็น NG intubation & feeding ตามเดิม เป็นอย่างนี้ไปจนถึง Day 10 (04/04) แต่ละวันยังคงไอมากอยู่ และมีเสมหะมาก ต้องใช้เครื่องดูดเสมหะ (phlegm suction) ช่วง เช้าๆ สายๆ บ่ายๆ (ก่อนอาหารแต่ละมื้อ) และ ก่อนนอน นอกจากนั้นคุณปู่ยังมีอาการ A-Fib (Atrial Fibrillation) คือหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอเล็กน้อย

Day 11 – 5 เมษายน ถอดสายออกซิเจนได้ เพราะระดับออกซิเจนสูงกว่า 90 แล้ว ก็ได้ความรู้ใหม่ว่าคนปรกติทั่วไป มี atrial oxygen level 92 mm Hg ขึ้นไป บางทีก็เรียก SpO2 (peripheral capillary oxygen saturation) วัดด้วยเครื่อง fingertip pulse oximeter monitor เป็นอุปกรณ์เล็กๆ ใช้หนีบปลายนิ้ว วัด SpO2 & heart rate จำนวนเม็ดเลือดขาวก็ลดลงเป็นลำดับ จากแรกๆ ราว 25,000 มาเป็น 13,000 แสดงว่าการติดเชื้อที่ปอดน้อยลง

ในช่วงที่เริ่มป้อนโจ๊กปั่นได้ใหม่ๆ คุณปู่มีการไอ ก็เลยสลับด้วยป้อนน้ำเปล่า ปรากฎว่าไอหนักขึ้น ตามความเข้าใจก็คิดว่าน้ำเปล่าใสๆ น่าจะกลืนได้คล่องคอกว่าโจ๊ก แต่หลังจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องการกลืนมาตรวจคุณปู่ วันนี้เลยได้ความรู้ใหม่ ผู้สูงอายุที่เป็น dysphagia (ภาวะกลืนลำบาก/ปัญหาการกลืน) ในบางรายจะมีปัญหาในการกลืนน้ำ ! (น้ำเปล่าเนี่ยแหละ) คือการกลืนของเหลวใส (clear liquid) น้ำเปล่า ซุปใส แต่กลับกลืนของเหลวอื่นเช่นซุปข้น โจ๊ก ได้ พอกลืนน้ำเปล่าก็จะไอหรือสำลัก ซึ่งขัดกับความรู้สึกคนทั่วไปมาก เราจะคิดว่ากลืนน้ำเปล่าน่าจะง่ายสุดแล้ว หรือปกติเวลาเราไม่สบายเราจะกลืนอาหารอื่นลำบากแต่ดื่มน้ำเปล่าได้ สาเหตุของ dysphagia คือกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกลืนมีปัญหาหรืออ่อนแรง ดังนั้นก็เลยต้องใช้การเพิ่มความหนืดของของเหลวใส ซึ่งที่มีขายตามร้านขายยาใหญ่ๆ คือ ThickenUp ของเนสท์เล่ (ไม่ได้ค่าโฆษณา) ชื่อเต็มๆ คือ Nestle Resource ThickenUp ซึ่งเป็นสารเพิ่มความหนืด ผสมได้หลายระดับ เช่น 1 ช้อนต่อน้ำ 100 ml ก็จะหนืดแบบ nectar (น้ำหวาน) 2 ช้อนหนืดแบบน้ำผึ้ง 3 ช้อนหนืดแบบพุดดิ้งหรือโยเกิร์ตซึ่งเมื่อน้ำหนืดขึ้นแล้วก็จะกลืนได้ไม่สำลักหรือไอแบบดื่มน้ำเปล่าใสๆ น่าแปลกใจมาก

https://www.nestlehealthscience-th.com/health-management/aging/nhs_resource

อีกอย่างคือการกลืน ต้องก้มหน้า จะกลืนง่ายกว่าแหงนหน้า ก่อนอาหารแต่ละมื้อ ก็ต้องมีการบริหารกล้ามเนื้อด้านการกลืน คือลูบคอแถวๆ ลูกกระเดือกขึ้น กระตุ้นรอบๆ ปาก แลบลิ้นยาวๆ 10 ครั้ง แลบลิ้นแตะมุมปากซ้ายขวาข้างละ 10 ครั้ง ออกเสียง ลา ล่ะ 10 ครั้ง อู อี อา 10 ครั้ง นอกนั้นยังให้พูดออกเสียงเพื่อบริหาร ซึ่งง่ายสุดคือสวดมนต์ นะโมตัสสะฯ 3 จบโดยออกเสียงไม่ใช่สวดในใจ และเวลาตื่นอยู่ให้พยายามปิดปากและหายใจทางจมูกลึกๆ ยาวๆ

Day 13 – 7 เมษายน ช่วงสาย เริ่มมีการทำกายภาพบำบัด (rehabilitation) โดยใช้เครื่องสั่นปอด และบริหารแขนขาบนเตียง

จนวันรุ่งขึ้น Day 14 – 8 เมษายน ถึงให้ลุกขึ้นยืนด้วย walker ได้ วันนี้ยังคงมีไข้อ่อนๆ เป็นวันที่ให้ยาครบ dose คือ 14 วัน รุ่งขึ้นจะ X-ray ปอด การที่ยังมีไข้อยู่ เป็นไปได้ 2 อย่างคือ ไข้จากยาที่ให้ไป หรือ เชื้อยังไม่หมดดี ถ้าเป็นอย่างแรก ก็คาดว่าจะออกจากโรงพยาบาลได้วันที่ 10 เมษา

Day 15 – 9 เมษา เช้า X-ray ปอดและเจาะเลือด และเนื่องจากยังมีเสมหะมาก เผื่อได้กลับบ้าน จะต้องยังมีการดูดเสมหะ ก็เลยออกไปซื้อเครื่อง portable phlegm suction unit ของจีนยี่ห้อ Yuwell รุ่น 7E-A ราคาเกือบ 4,000 (ถ้าซื้อ online จะถูกกว่า แต่ไม่แน่ใจว่าจะจัดส่งให้ทันไหม) พร้อมทั้งสายดูดเสมหะ ก็มีหลายขนาด เลยซื้อเบอร์ 14 มา ซึ่งโดยทั่วไปถ้าดูดทางปากและเสมหะเหนียวก็โอเค แต่ถ้าเสมหะไม่เหนียว หรือดูดทางจมูกซึ่งประสิทธิภาพดีกว่า (ต้องใช้ทักษะของผู้เชี่ยวชาญ ถ้าไม่ใช่มืออาชีพควรดูดทางปาก) ก็ใช้เบอร์ 12 พร้อมทั้งถุงมือ ภายหลังถึงทราบว่าควรซื้อแบบเป็นชุด คือสายดูดเสมหะ (suction catheter) และถุงมือฆ่าเชื้อแล้วใน package เดียวกัน

แต่แล้ว พอช่วงบ่าย ก็ผิดหวัง เพราะปรากฎว่าปอดช่วงล่างที่ติดเชื้อตอนแรกมีอาการดีขึ้น แต่กลับมามีการติดเชื้อที่ปอดขวาด้านบนแทน มากพอสมควรทีเดียว ซึ่งเกิดจากตอนหลับอาจมีการไอหรือสำลัก ทำให้ติดเชื้อใหม่อีก เลยเก็บเสมหะไปเพาะเชื้อ และต้องอยู่โรงพยาบาลต่อไป เพื่อให้ยาฆ่าเชื้อ dose ใหม่ คาดว่าราว 7 วัน! 2 วันต่อมาก็ทราบผลเพาะเชื้อว่าเป็นเชื้อแบคทีเรียอีกตัวนึง คนละตัวกับตัวแรก

Day 16 – 10 เมษา – Day 20 – 14 เมษา

อาการทะยอยดีขึ้น ไข้ลดลง เม็ดเลือดขาวลดลง แต่ยังมีเสมหะมาก อาหาร 3 มื้อยังเป็นโจ๊กปั่น ตามด้วยน้ำผลไม้และน้ำเปล่า ซึ่งยังคงต้องผสม ThickenUp มีการทำกายภาพบำบัดทุกวันเช้าบ่าย จากยืน ก็ค่อยๆ พยุงเดินด้วย walker ไปนั่งเก้าอี้ในห้อง ช่วงเย็นวันที่ 14 เมษา คุณหมอแจ้งว่าอาการดีขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าจะออกจากโรงพยาบาลได้บ่ายวันรุ่งขึ้น แต่ต้องเตรียมอุปกรณ์บางอย่างไปใช้ต่อที่บ้าน

Day 21 – 15 เมษายน ช่วงเช้าออกไปซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติม คือ syringes ไว้หยอดน้ำเข้าปากเวลาดูดเสมหะ, fingertip pulse oximeter monitor ไว้วัด oxygen และ heart rate, blood pressure monitor (เคยมีอยู่อันแต่ไม่ค่อยได้ใช้เลยเสียไปแล้ว), contactless forehead thermometer (ซึ่งเผอิญวันนี้ของเพิ่งเข้ามาที่ร้านขายยาและอุปกรณ์การแพทย์ เดิมเห็นมีแต่แบบธรรมดา) ตอนเที่ยงคุณหมอเจ้าของไข้มาตรวจ และแจ้งว่าน่าจะกลับได้ แต่ต้องรอให้คุณหมอด้านติดเชื้อมาตรวจและ approve ก่อน พอช่วงเย็นคุณหมอด้านติดเชื้อมาตรวจ สรุปว่าให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ โดยต้องทานโจ๊กและน้ำผสม ThickenUp ไปสักหนึ่งสัปดาห์ก่อน จึงค่อยๆ ให้อาหารซึ่งข้นขึ้น ระหว่างนี้ ให้ตรวจอุณหภูมิ ความดัน ปริมาณออกซิเจน ทุกวัน ถ้าออกซิเจน 92+ ก็โอเค ถ้าต่ำหรืออาการพูดผิดปรกติไป ให้กลับมาพบหมอ ถ้าปรกติดีก็อีก 2 สัปดาห์กลับมา follow up และ X-ray ปอดอีกครั้ง

สรุปว่าอยู่โรงพยาบาลทั้งหมด 21 วัน เป็น ICU 7 วันและห้องปรกติ 14 วัน ถึงได้กลับมาพักฟื้นต่อที่บ้านเย็นวันนี้เอง

ได้ความรู้ใหม่อีกอย่างคือ กรณีผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ เข้าโรงพยาบาลเอกชนนอกคู่สัญญา 3 กองทุน (หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า, กองทุนประกันสังคม กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ) สามารถใช้สิทธิ์ UCEP (Universal Coverage for Emergency Patients) ของ ศพฉ. (สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ) รักษาฟรี 72 ชั่วโมงแรก หรือ จนพ้นวิกฤติแต่ต้องเป็น รพ. คู่สัญญา ถ้าเตียง ICU ว่างและย้ายได้ ถ้าอยู่ รพ. เอกชนต่อก็ต้องชำระเอง รายละเอียดติดต่อ ศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (ศคส.สพฉ.) ได้ตลอด 24 ชั่วโมง. หมายเลข 02-8721669

https://www.niems.go.th/1/News/Detail/5969?group=2

อ้อ ความหมายของผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ คือ หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ  หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หายใจติดขัดมีเสียงดัง   ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น หรือมีอาการชักร่วม  เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รุนแรง แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัด แบบปัจจุบันทันด่วน หรือชักต่อเนื่องไม่หยุด หรือมีอาการอื่นร่วม ที่มีผลต่อการหายใจระบบการไหลเวียนโลหิตและระบบสมองที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต

21 Days of WFH and Losing 7 kg. along the Way

วันนี้ครบ 21 วันกับการ WFH กักตัวอยู่กับบ้าน กับน้ำหนัก 7 กก. ที่หายไป


วันนี้เป็นวันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 ปีแรกในชีวิตที่มีการเลื่อนเทศกาลประเพณีสงกรานต์ออกไป
ตลอดเวลาที่กักตัวเองไว้ ผมสามารถบรรลุ OKR’s & KPI’s ทุกประการ จนได้รับคำชมเชยจากนายในช่วงการ video call ประจำวันเพื่อประชุม update ผลการดำเนินงานและแผนงานต่างๆ จากที่ผมเคยเงอะๆ งะๆ กับเทคโนโลยี เคยใช้เป็นแต่ e-mail กับ Line ตอนนี้ผมสามารถใช้งาน Microsoft Teams, Zoom, Slack, Google Drive, DropBox, EverNote, iCloud ฯลฯ ได้อย่างช่ำชอง แล้วยังรวมไปถึง TikTok ด้วย นี่ถ้ายังมี Jive อยู่ เราคงจะได้ใช้ Enterprise Social Collaboration Platform นี้เพื่อเพิ่ม productivity ได้อีกมากทีเดียวในการทำงานร่วมกันบนออนไลน์


นอกเหนือจากการทำงานต่างๆ ในความรับผิดชอบที่ได้รับการมอบหมายจนมีผลลัพธ์เกินคาดแล้ว ผมยังได้มีเวลาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์จาก free online courses ต่างๆ ใน Udemy, TED Talks, YouTube, Webinar, Facebook Live รวมถึง Thailand Coaching Academy by Jimi the Coach ด้วย นอกจากนี้ ผมยังได้ download บทความต่างๆ บางรายการที่เขาเปิดให้ download ฟรีช่วงนี้จาก Harvard Business Review และ MIT Sloan Management Review เพื่อมาศึกษาเพิ่มพูนความรู้ ทำให้ผมมั่นใจได้ว่า เมื่อพ้นวิกฤติการณ์นี้ไปแล้ว ผมจะมีความรู้ความสามารถที่เพิ่มพูนเพียบพร้อมขึ้นจนสามารถพุ่งทะยานเจริญเติบโตก้าวหน้าไปอย่างไร้ขีดจำกัด


ผมเข้านอนตอน 4 ทุ่มและตื่นตี 5 ทุกวันเพื่อนั่งสมาธิ แล้วออกไปวิ่งออกกำลังกายรอบๆ บ้านวันละ 5 กม. โดยฟัง audiobook ไปด้วยหรือบางวันก็ฟัง podcasts ผมสามารถหลีกเลี่ยงการกินน้ำตาล งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดทำให้ผมไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากการที่ทางการระงับการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระยะนี้ และยังได้งดเครื่องดื่มที่มี caffeine ทุกชนิดได้โดยสิ้นเชิง ผมได้ eat clean ทุกมื้อพร้อมทั้ง low carb diet แกล้มกับพืชผักสวนครัวที่ปลูกไว้เองหลังบ้าน ไม่กิน red meat เลย บางวันยังได้ทำ IF อีกต่างหาก บ้านเราไม่จำเป็นต้องกักตุนอะไรเลยเพราะเราเลี้ยงไก่ไว้ฝูงหนึ่ง เลยมีไข่ไก่กินอย่างพอเพียงเพื่อเสริมโปรตีนร่วมกับปลาที่เราเลี้ยงไว้ในสระน้ำหน้าบ้าน แม้กระทั่งกระดาษชำระหรือที่บางคนเรียกทิชชูม้วนเราก็ไม่จำเป็นต้องกักตุน เพราะเรามีสิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์ที่เมืองไทยเราใช้กันอย่างแพร่หลาย (ยกเว้นสนามบินสุวรรณภูมิ) แต่ฝรั่งโลกตะวันตกไม่ค่อยจะรู้จักใช้กัน นั่นก็คือ “สายฉีดชำระ”


ผมพักกลางวันราว 11 โมงครึ่งเพื่อเปิดทีวีช่อง COVID-19 TV (NBT 2 HD) ฟังคุณหมอทวีศิลป์อัพเดทสถานการณ์รายวัน รวมทั้งเรื่องที่ประชาชนพึงปฏิบัติ ตามด้วยท่านรองฯ ณัฐภาณุ เพื่อเพิ่มพูนทักษะการฟังภาษาอังกฤษของผมไปด้วย


ผม workout ทุกเย็นโดยประยุกต์ใช้สิ่งของต่างๆ ในบ้านโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอุปกรณ์ในฟิตเนสที่ผมเป็นสมาชิกอยู่แต่ถูกปิดไปชั่วคราว ผมสามารถลดน้ำหนักลงได้ถึง 7 กก. ภายใน 21 วันที่ผ่านมา เมื่อเช้านี้ผมยิ้มให้กับตัวเองเมื่อส่องกระจกเห็นว่า ผม fit & firm ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พุงที่เคยยื่นออกมาถูกแทนที่ด้วย six-pack เป็นที่เรียบร้อย เอวลดลง 2 นิ้วจนสามารถหยิบกางเกงเก่าตัวโปรดที่แขวนซุกไวัด้านในสุดของตู้เสื้อผ้ามาใส่ได้อีกครั้ง


นอกจากนั้น ผมยังได้ยินภรรยาสุดที่รักชื่นชมผมว่าตอนนี้ผมกลับเป็นหนุ่มฟิตเปรี๊ยะเหมือนตอนเราแต่งงานใหม่ๆ และผมเองก็รู้สึกเหมือนเป็นหนุ่มขึ้นสักสิบปีทั้งร่างกายและจิตใจ ก่อนนอนทุกคืน ผมทำ self reflection และมีโอกาสได้ทำงานเชิงลึกกับตัวเอง ผมบอกตัวเองว่า ผมภูมิใจในตัวผมเองมาก เราทำได้แล้ว เราบรรลุเป้าหมายแล้ว และขอขอบคุณ COVID-19 ที่ทำให้ผมสามารถเอาเวลาที่เคยสูญเสียไปกับการเดินทางไปที่ทำงานและที่อื่นๆ มาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง


แน่นอนเหลือเกิน ผมไม่อาจทราบได้เลยว่าใครเป็นคนเขียนเรื่องราวข้างต้นไว้! แต่ผมขอคารวะและชื่นชมเขาอย่างจริงใจ ที่เขาสามารถสนุกกับการกักตัวตลอด 3 สัปดาห์และใช้เวลาให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ แสดงว่า เขารู้จักเลือกที่จะควบคุมการดำเนินการได้อย่างเหมาะสมในการตอบสนองกับเหตุการณ์ที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ จนเกิดผลลัพธ์เหนือเป้าหมายที่เขาตั้งไว้ แสดงว่าเขาได้ดึงศักยภาพทรัพยากรภายในที่เขามีอยู่ เสมือนภูเขาน้ำแข็งในส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำ มาใช้อย่างเต็มที่ ได้ลดความเชื่อความกลัวต่างๆ อันเป็นข้อจำกัดของเขาออกไป ได้ใช้คุณสมบัติดีๆ ที่มีอยู่ภายในตัวเขาคือ การมองโลกในแง่ดี พลิกวิกฤติเป็นโอกาสใฝ่เรียนรู้ มีความมุ่งมั่น มุมานะ ขยัน และมีวินัย ก็เลย copy ข้อความของเขามาแปะไว้ที่นี่
555 😜
เต้ย
๑๔ เมษา’ ๖๓

อัพเกรดใบขับขี่เป็นแบบใหม่ รุ่น digital พร้อม QR code (Electronic Driving Licence)

105 บาท ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง รับใบขับขี่ใหม่ได้เลย แล้วก็ลงทะเบียนใน app ก็จะมีใบขับขี่อิเล็กทรอนิคส์ ตลอดชีพ (ตามเดิม) เป็นภาพดิจิทัลบนมือถือ

เดิมเคยมีใบขับขี่ใบแรกตั้งแต่ปลายปี 2520 จำได้ว่าพออายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ปั๊บ วันรุ่งขึ้นก็ไปสอบทำใบขับขี่เลย ได้เป็นใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพ หรือ Lifetime Private Car Driving Licence (licence เป็น British English ถ้าเป็น American English ก็จะสะกด license) รุ่นกระดาษกึ่งอ่อนกึ่งแข็ง ทำมาแล้วต้องนำไปเคลือบพลาสติก แต่ขนาดใบขับขี่รุ่นนั้นใหญ่กว่าบัตรประจำตัวประชาชน พกใส่กระเป๋าตังค์ก็จะขนาดใหญ่ไปนิด นานๆ ไปตามขอบๆ ก็จะยุ่ยออก

ราว 4-5 ปีก่อน เขาเปิดให้ทำรุ่นใหม่ เป็นพลาสติก เค้าว่าเป็น smart card ด้วย เป็นขนาดเท่าบัตรประชาชน ด้านหลังมีแถบแม่เหล็ก แต่ใส่กระเป๋าตังค์นั่งทับไปนานๆ ก็เกิดอาการกรอบแตก ว่าจะไปทำใหม่หลายทีแล้วก็ไม่ได้ไปซักที

ปรากฎว่าปีนี้ เขาเปิดให้ทำรุ่นใหม่ล่าสุด เป็นบัตรพลาสติก smart card ด้านหลังมี QR code และใช้ app เปิดรูปใบขับขี่อิเล็กทรอนิกส์หรือดิจิตัล ได้เลย โดยไม่ต้องพกบัตรพลาสติก ซึ่งมีผลตาม พรบ. ใหม่ 20 กันยายน 2562 ก็เลยไป upgrade ซะหน่อย

ถ้าอยู่กรุงเทพฯ ก็ไปที่กรมการขนส่งทางบก ใกล้ๆ หมอชิตเก่า ที่เดียวกับเวลาไปชำระภาษีต่อทะเบียนรถ ทีแรกก็เตรียมไปทั้งสำเนาบัตรประชาชน และ สำเนาใบขับขี่ไปด้วย เพราะใบจริงกรอบแตก แต่ในสำเนาภาพใบขับขี่ยังชัดอยู่ เพราะ scan เป็น pdf file เก็บไปตอนไปทำใหม่ๆ พวกเอกสารสำคัญเหล่านี้ scan เป็น pdf ไว้ก็จะสะดวกเวลาต้องการทำสำเนาก็ print ออกมาได้เลย ถ้าจะให้ดีก็ save เป็น photo ไว้ในมือถือด้วย

ที่กรมการขนส่งทางบกก็ไปที่อาคาร 4 ชั้น 2 (แนะนำว่าไม่ควรขับรถไป หาที่จอดยากมาก วันนี้เลยนั่ง GRAB ไปและนั่งแท็กซี่กลับ) เดินขึ้นบันไดไปชั้น 2 ก็เจอเคาน์เตอร์ ก็บอกเขาว่ามาทำใบขับขี่เปลี่ยนจากรุ่นเก่าเป็นรุ่นใหม่ที่มี QR code แล้วก็ยื่นใบขับขี่เก่าตัวจริง กับบัตรประชาชนตัวจริงให้เขา (ปรากฎว่าไม่ต้องใช้สำเนาที่เตรียมไป) เขาก็แจกบัตรคิวมาโดยใช้คลิปติดบัตรคิวกับบัตรประชาชนและใบขับขี่ใบเก่า แล้วก็ให้เข้าไปนั่งรอเรียกด้านใน ตอนนั้นราว 11 โมง ได้บัตรเลขที่ B0350 โดยระบุในบัตรคิวว่า จำนวนคนรอ 111 คน !!!

ด้านในก็มีที่นั่งรอเพียงพอ ระหว่างรอก็นั่งเขียน blog นี้ไปพลางๆ สลับกับ ดูจอรอเสียงเรียกคิว เห็นมีช่องๆ ราว 20 ช่อง แต่บัตรคิวใบนี้เขาบอกช่อง 4-16 บนจอนอกจาก BXXXX ก็มี AXXXX CXXXX DXXXX ด้วย ไม่ทราบเหมือนกันว่าที่ขึ้นต้น A, B, C, D ต่างกันอย่างไร เดาว่าแยกประเภท ทำใหม่ ต่ออายุ อัพเกรด มั้ง ลักษณะช่องบริการก็คล้ายๆ กรมการกงศุล แจ้งวัฒนะ เวลาไปทำ passport แต่ที่กรมการกงศุล สถานที่ดูดีกว่า(เยอะ) และ เจ้าหน้าที่ที่โน่น (เข้าใจว่า outsource) ค่อนข้างจะ friendly กว่า ตอนแรกก็ลุ้นว่าเขาจะหยุดพักเที่ยงกันหรือเปล่า แต่ก็เห็นเขายังให้บริการต่อเนื่องไปช่วงเที่ยง เห็นบางช่องเขาแขวนป้ายว่า พักรับประทานอาหารกลางวัน 11:00 – 12:00 น. ก็แสดงว่าเขาผลัดกันไปกินข้าวกลางวัน ระหว่าง 12:00 – 13:00 ก็ยังมีเจ้าหน้าที่ช่องอื่นๆ บริการอยู่ แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเช้าเปิดกี่โมง และปิดเย็นกี่โมง เดาว่าเช้าๆ คนคงเยอะ บ่ายแก่ๆ ก็อาจไม่ทัน ก็เลยเดาว่า สายๆ หรือ บ่ายต้นๆ น่าจะโอเค

111 คิว นั่งรอไปราวๆ 1 ชั่วโมงก็ถึงคิว เข้าไปนั่งที่ช่องบริการตรงข้ามกับเจ้าหน้าที่ ที่มีจอคอมพิวเตอร์และกล้องถ่ายรูปบนขาตั้งบนโต๊ะ ด้านหล้งที่เรานั่งเป็นฉากสีน้ำเงิน ก็ยื่นบัตรคิวพร้อมบัตรประชาชนกับใบขับขี่ เขาก็เอาบัตรประชาชนไปเสียบกับเครื่องอ่านบัตร ถามเบอร์มือถือ ถามว่าที่อยู่ยังตรงตามบัตรประชาชนไหม ชำระเงิน 105 บาทให้เจ้าหน้าที่ตรงนั้นเลย แล้วเขาก็พิมพ์ฟอร์มออกมาให้เราตรวจสอบความถูกต้อง เซ็นชื่อ 2 แห่งในใบคำขอที่เขา print มาให้ (สรุปว่าเราไม่ต้องกรอกฟอร์มอะไรเลย เซ็นชื่ออย่างเดียว) ที่โต๊ะมีกระจกส่องหน้าแบบตั้งโต๊ะให้เราเช็คสภาพใบหน้าก่อนถ่ายรูป แล้วก็ถ่ายรูปเรา เสร็จแล้วก็ print ใบขับขี่ใบใหม่ให้เราเลย เป็นอันจบสิ้นกระบวนการ แต่ไม่ยักกะให้เราตรวจสอบรูปในจอคอมพิวเตอร์ก่อนแบบเวลาทำ passport เรียกว่าลุ้นเอาเองว่ารูปออกมาจะดีไหม จริงๆ ถ้าเราขอเขาดูบนจอก่อน print ก็คงจะได้มั้ง แต่ขี้เกียจขอ เพราะด้วยใบหน้าเราถึงถ่ายใหม่ก็คงไม่ได้ช่วยอะไรมาก อ้อ! ตอนแรกใส่แว่นอยู่ เขาให้ถอดแว่นตอนถ่ายรูป ระยะเวลาที่เคาน์เตอร์เพียง 2-3 นาทีก็เสร็จเรียบร้อย สรุปว่าตั้งแต่รับบัตรคิวจนเสร็จราวๆ 1 ชั่วโมง ใบขับขี่ที่ได้มาใหม่นี้ยังคงเป็น ตลอดชีพ เหมือนใบเดิม เข้าใจว่าถ้าใบเดิมเป็นแบบต้องต่ออายุ ใบใหม่ก็คงต้องเป็นแบบต่ออายุเหมือนเดิม

พอดีก่อนไปได้โหลด app ชื่อ DLT QR LICENCE มาแล้ว พอเดินออกมาก็ทดลองใช้งาน app พอเปิด app ก็ลงทะเบียนโดยเลือกการลงทะเบียนแบบ QR code ก็ป้อนเลขบัตรประชาชน ป้อน email address เพื่อรับรหัส OTP  แล้วก็ป้อนเข้าไปใน app ตั้ง pass code เลข 6 หลัก scan QR Code ด้านหลังใบขับขี่ใหม่ ก็จะได้ภาพดิจิตัล เป็น Electronic Driving Licence เป็นที่เรียบร้อยเหมือนบัตรพลาสติกเป๊ะ สำหรับไว้แสดงเวลาตำรวจขอดูใบขับขี่ได้ แต่ถึงแม้ พรบ. บอกว่าตั้งแต่ 20 กันยายน 2562 สามารถใช้รูปใน app แทนใบขับขี่ตัวจริงได้ แต่เห็น standee ตรงเคาน์เตอร์ที่รับบัตรคิว มีข้อความว่า “ช่วงแรกยังต้องใช้ควบคู่กับการพกพาใบอนุญาตขับรถสมาร์ทการ์ด” ก็แปลว่า ยังต้องพกใบจริงด้วยมั้ง กันเหนียว และก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ช่วงแรกเนี่ย นานแค่ไหน กี่เดือนกี่ปี

หน้าตาใบขับขี่สมาร์ทการ์ดรุ่นใหม่ ก็คล้ายรุ่นเก่าแหละ แตกต่างจากสมาร์ทการ์ดรุ่นเก่าคือ ด้านหน้ามีข้อมูลเท่ากับแบบเก่าไม่ขาดไม่เกิน เพียงแต่การจัดวางตำแหน่งข้อมูลแตกต่างกันไปบ้าง  ที่แตกต่างกันคือด้านหลังแบบเก่ามีแต่แถบแม่เหล็ก แต่แบบใหม่มี แถบแม่เหล็ก QR code และ ที่อยู่ตามบัตรประชาชน ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

ใน app เราสามารถกด ข้อมูลในอนุญาต ก็จะมีรูปใบขับขี่ทั้งด้านหน้าด้านหลังบนจอมือถือ (เข้าใจว่าการถ่ายรูปบัตรไว้ในมือถือเฉยๆ ใช้แทนใบขับขี่ตัวจริงไม่ได้ ต้องเป็นรูปที่เปิดจาก app เท่านั้น) ประโยชน์ของ app อีกอย่างคือมีระบบแจ้งเตือนใบขับขี่หมดอายุล่วงหน้า มีให้ใส่ข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติม เช่น หมู่โลหิต ประวัติแพ้ยา โรคประจำตัว สถานพยาบาลหลัก ข้อมูลผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน สิทธิการรักษาพยาบาล การบริจาคอวัยวะ และมีช่องให้เราติ๊กว่า ยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลเพื่อช่วยเหลือยามฉุกเฉิน แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาฉุกเฉินเขาจะเข้ามาดูข้อมูลนี้อย่างไร เพราะมือถือก็ต้องใช้ pass code หรือ finger print หรือ Face ID recognition และเวลาเปิด app ก็ยังต้องใส่ pass code ด้วย นอกจากเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล ก็เห็นมืเรื่อง แชร์เส้นทางการเดินทาง SOS ขอความช่วยเหลือ และ ข้อมูลข่าวสาร ให้เราเลือกใช้งาน

เขาว่าก็ไม่ได้บังคับว่าต้องไปอัพเกรดใบขับขี่จากแบบเก่าเป็นแบบใหม่ เพียงแต่ถ้ามีเวลาไปอัพเกรดเป็นแบบใหม่ซะ ต่อไป (หลังจากช่วงแรก) ก็ไม่ต้องพกใบขับขี่สมาร์ทการ์ด แล้ว ใช้แต่ app ในมือถือก็พอ แต่เพื่อความไม่ประมาท เค้าแนะนำว่า เผื่อแบตหมด มือถือเจ๊ง มือถือไม่มีสัญญาณ ซึ่งลอง simulate ด้วยการเปิด flight mode ตัดสัญญาณ ปรากฎว่าพอเปิด app ปั๊บ เด้งออกเลย ใช้งานไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็ควรมีสำเนาติดรถไว้อยู่ดีแหละนะ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

เกษียณแล้วทำอะไรดี ?

“เกษียณแล้วพี่จะทำอะไร?” คือคำถามยอดฮิตที่ได้ยินบ่อยมากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้  กลางเดือนกันยายนซึ่งอีก 3 เดือนนิดๆ ก็จะเกษียณ ในปีที่อายุจะครบ 60 สำหรับพนักงานบริษัทที่เกษียณเมื่อ 31 ธันวาคม ไม่เหมือนข้าราชการที่เกษียณตอน 30 กันยายนตามปีงบประมาณ

บางทีผมก็ถามกลับว่า ทำไมต้องทำอะไรด้วย เกษียณก็คือหยุดทำงานแล้วไง หลายคนก็บอก น่าจะหาอะไรทำงานต่อได้ เห็นพี่ยังฟิต ยังดูแข็งแรง ไม่เหมือนคนอายุ 60 ยังกะซัก 50 ต้นๆ อย่างมากไม่เกิน 55 (ห้าสิบห้านะ ไม่ใช่ ฮ่า ฮ่า) ส่วนหนึ่งอาจเพราะเขาพูดปลอบใจให้ดูดี ส่วนหนึ่งอาจเพราะทรงผมและการแต่งตัวของผมไม่ค่อยจะเหมือนคนรุ่นราวคราวเดียวกัน อีกส่วนหนึ่งอาจเพราะผมหน้าแก่ตั้งแต่ไหนแต่ไร น้องๆ ที่คุ้นเคยกันมานานเลยเห็นหน้าผมคงเส้นคงวา นี่คือข้อดีของหน้าแก่เร็วแต่แก่คงที่ เพราะหลายคนที่เดิมหน้าอ่อนเยาว์กว่าภายหลังหน้าแก่แซงเรา 555 (อันนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า) สมัยเรียนปี 1 ผมเป็นนักกีฬายิงปืนของคณะ (ปืนสั้นอัดลมเบอร์ 1 ยิงเป้ากระดาษวงกลมระยะ 10 เมตร) ท่ายิงปืนผมจะประหลาดกว่าชาวบ้านนิดเพราะผมถนัดมือขวาแต่ดันถนัดตาซ้าย (cross dominance คือถนัดมือข้างนึง แต่ถนัดตาอีกข้างนึง กรณีผมเป็น left-eye dominant แบบ Tom Cruise ในหนังเรื่อง Top Gun ปานนั้นเลย!) เวลายิงปืนเลยต้องเบือนหน้าไปทางขวาเพื่อใช้ตาซ้ายเล็ง ระหว่างกำลังซ้อมอยู่ในสนามยิงปืนในมหา’ลัย มีหนุ่มๆ กลุ่มนึงมาดูเราซ้อม ผมจำหน้าได้ว่ากลุ่มนี้เป็นรุ่นพี่ปี 2 คณะติดๆ กันที่เคยมาเหล่สาว (สำนวนสมัยโน้น) เฟรสชี่ คณะผม เขาเข้ามาตีซี้ เลียบๆ เคียงๆ ผม แล้วก็เอ่ยปากว่า “พี่ครับ! สอนผมยิงปืนหน่อยครับ” ผมรีบตอบไปว่า “ครับผมพี่ ผมแนะนำให้ครับ” อีกทีตอนเรียนปี 3 กำลังทำ lab อยู่ มีคนเดินเข้ามาหาพูดว่า “อาจารย์ครับ! ผมอาจารย์…จากมหาวิทยาลัย…  ห้องอาจารย์… อยู่ที่ไหนครับ” ผมรีบยกมือไหว้แล้วบอก “สวัสดีครับอาจารย์ ผมยังเป็นนิสิตครับ ห้องอาจารย์… อยู่ทางนั้นครับ เดี๋ยวผมพาไปครับ”

คำตอบผมคือ

“พัก อยู่กับครอบครัว อ่านหนังสือ ท่องเที่ยว วิ่ง ปั่นจักรยาน ตีกอล์ฟ หรือไม่ก็สอนหนังสือ กับอีกอันที่อยากเป็นคือ activist เรื่องความปลอดภัยในการปั่นจักรยาน” คือคำตอบ

แต่ในใจก็คิดว่า ทำไมต้องทำ “งาน” อะไรด้วย ก็มุ่งมั่นทุ่มเทเกินร้อยกับการทำงานมาสามสิบกว่าปีแล้ว ไปถึงที่ทำงาน 7 โมงเช้า กว่าจะออกจากที่ทำงานก็เกินสองทุ่ม เกือบจะทุกวันมาตลอด ยกเว้นปีสุดท้ายเนี่ยแหละ ที่ยังไปเช้าอยู่แต่ไม่กลับค่ำแล้ว เพราะงานไม่ยุ่งเหมือนแต่ก่อน ที่เคยประชุมเยอะแยะ calendar แทบจะไม่มี slot ว่าง จนต้องหกโมงเย็นไปแล้วแหละ ถึงจะมีเวลาสงบ เช็ค email และทำงานเรื่องอื่นๆ ที่ต้องใช้สมาธิต้องคิดวางแผน ฯลฯ ที่ต้องทำคนเดียว อีกอย่างที่ตอนนี้ต้องกลับเร็วเพราะคุณพ่ออายุ 94 ส่วนคุณแม่อายุ 90 ทั้งสองท่านก็ไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว เป็นไปตามวัย เดินก็ไม่ค่อยได้แล้ว คุณพ่อต้องใช้ walker คุณแม่ต้องใช้ไม้เท้าและมีคนช่วยพยุง เดือนเมษายนก็เคยล้มแขนหักไปทีนึง คุณพ่อสมองยังดีอยู่แต่ก็ช้าหน่อย ส่วนคุณแม่หลงลืมไปเยอะแล้ว แต่ยังพอจำลูกหลานได้ ยังดีที่ทั้งสองยังทานอาหารเองได้อยู่ ภรรยาผมจะทำอาหารอาหารเย็นที่เคี้ยวง่าย ไม่เผ็ดที่ทั้งสองชอบ ผมก็มีหน้าที่นำอาหารไปให้ เพราะบ้านอยู่ติดกัน มีประตูเล็กเชื่อมบ้านคุณพ่อคุณแม่กับบ้านครอบครัวผม ช่วงก่อนหน้านี้ก็ทำงานแล้วก็ละเลยไม่ค่อยได้ไปบ้านคุณพ่อคุณแม่บ่อยเท่าที่ควร ซึ่งตอนนั้นทั้งสองท่านแข็งแรงกว่านี้มาปีสองปีนี้ ที่ชราลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แล้วผมยังต้องไปทำงานที่อินโดนีเซียซะ 2 ปีเศษ เพิ่งย้ายกลับไทยต้นปีนี้ ที่เป็นปีสุดท้ายของการทำงาน ปีนี้ก็เลยได้มีโอกาสไปหาคุณพ่อคุณแม่ได้บ่อยขึ้น ได้ไปแทบทุกวัน ยกเว้นบางวันที่มีงานตอนกลางคืน หลังจากนำอาหารไปให้คุณพ่อคุณแม่แล้ว ผมก็จะออกไปวิ่งสัก 5 กม. ก็ราวๆ 45 นาที แล้วค่อยกลับมาอาบน้ำและกินอาหารเย็น นี่คือวันที่ตอนเช้าขี้เกียจ ไม่ยอมตื่น ก็วิ่งตอนเย็นแทน แต่ถ้าวันไหนขยันตื่นหน่อย ได้ไปวิ่งเช้าแล้วก็ไม่วิ่งเย็น ผมพยายามวิ่งราวๆ เดือนละ 100+ กม. หรือถ้าไม่วิ่งก็ออกไปปั่นจักรยาน ส่วนคุณพ่อของภรรยาเสียชีวิตไป 5 ปีแล้ว ส่วนคุณแม่ภรรยาก็จำความไม่ได้แล้ว เป็นผู้ป่วยติดเตียง ภรรยาผมลาออกจากงาน (early retirement) เมื่อ 6 ปีก่อนเพื่อจะได้มีเวลาไปดูแลคุณแม่ ช่วยกับพี่น้องของภรรยา ภรรยากับผมเกิดปีเดียวกัน เป็นเพื่อนเรียนมหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกัน คุณพ่อภรรยากับคุณพ่อผมเกิดปีเดียวกัน คุณแม่ภรรยากับคุณแม่ผมก็เกิดปีเดียวกันอีก ทั้งสี่ท่านอายุยืนกันหมด ผมเคยเปรยกับภรรยาว่า ดู track record กับพันธุกรรมแล้ว ท่าทางเราก็น่าจะอายุยืนทั้งคู่นะ ภรรยาบอกว่า ใช่ ถ้าผมไม่ไปโดยรถชนตายเวลาออกไปปั่นจักรยานซะก่อน! เอิ่ม! นี่แสดงว่าเค้ารักและเป็นห่วงเรานะ

เพราะฉะนั้น พัก คือคำตอบแรก ที่จะทำหลังเกษียณ

เมื่อพัก ก็จะได้ใช้เวลากับภรรยา กับครอบครัวได้มากขึ้นกว่าสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ที่กลับบ้านค่ำทุกวันทำงาน บางครั้งก็ยังต้องมีงานวันหยุดหรือกลางคืนอีก และแต่ก่อนก็ยังต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดและต่างประเทศบ่อยๆ อีกต่างหาก มีอยู่ปีนึงจำได้ว่าต้องไปประชุม/สัมมนา ต่างประเทศ 8 ทริปในปีเดียว ซึ่งเป็นทริปยุโรปกับอเมริกาล้วนๆ จนชื่อขึ้นท็อปๆ ในบริษัทในเรื่องการเดินทาง มีอยู่ทีนึงไปอเมริกาสัปดาห์เศษๆ กลับมาไทยได้สัปดาห์นึง แล้วก็ต้องไปอเมริกาอีกสัปดาห์เศษๆ จนมีคนแซวว่าพี่บินถี่กว่าแอร์กับสจ๊วตอีกนะ  ปลายปีนั้นถึงกับต้องไปพบหมอเนื่องจากอาการไซนัสอักเสบกำเริบ จากการที่บินขึ้นบินลงบ่อยเกิน หลังจากเกษียณ ก็จะได้มีเวลาอยู่บ้านหรือไปไหนมาไหนกับภรรยาได้บ่อยขึ้นกว่าเดิม

อีกอย่างที่เงื้อไว้เลยคืออ่านหนังสือ ผมชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจตั้งแต่เด็ก ส่วนหนึ่งน่าจะติดมาจากคุณพ่อ เพราะคุณพ่อก็ชอบอ่านหนังสือมาก และชอบเขียนหนังสือด้วย เด็กๆ ผมอ่านหนังสือสารพัดอย่าง จนชินกับการอ่าน ผมจะประหลาดจากคนทั่วไปนิดตรงที่เวลาเห็นภาพกับตัวอักษรอยู่ด้วยกัน มักจะอดไม่ได้ที่จะต้องอ่านก่อนที่จะมองภาพ ตอนเด็กๆ กับตอนหนุ่มๆ อ่านหนังสือสารพัดทั้งนวนิยายและพวก non-fiction และส่วนใหญ่มักจะอ่านหนังสือภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทย คงเพราะหนังสือภาษาอังกฤษมีตัวเลือกของเรื่องราวที่สนใจอยากอ่านมากกว่าหนังสือภาษาไทย บางทีอ่านหนังสือจนถึงตีหนึ่งตีสอง แต่ก็ยังตื่นเช้าได้เพราะยังหนุ่มแน่น ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้อ่านพวกนวนิยายหรือ fiction เลย ยกเว้น Harry Potter สัก 3-4 ตอนแรกแล้วก็หยุดตาม เพราะส่วนใหญ่แล้วยี่สิบกว่าปีมานี้ อ่านแต่หนังสือที่เกี่ยวข้องกับการทำงานทั้งนั้น แต่ก่อนเวลาไปห้างก็อดไม่ได้ที่จะแวะเวียนเข้าร้าน Asia Books หรือ Kinokuniya ซื้อหนังสือที่ Asia Books บ่อยจนเขาทำบัตรสมาชิกส่วนลดตลอดชีพให้ แต่ราวสิบปีที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้ซื้อหนังสือที่เป็นกระดาษแล้ว หันมาซื้อ e-book บน Kindle แทน พอเกษียณแล้ว ทีนี้แหละ จะได้อ่านหนังสืออื่นๆ ที่อยากจะอ่านซะที บางครั้งเราอาจมองว่าการอ่านหนังสือเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะ passive แบบดูหนัง ดูทีวี แต่จริงๆ แล้ว เค้าว่าการอ่านหนังสือนั้น active กว่าดูหนังดูทีวี เพราะไม่มีภาพให้เห็น แต่สมองเราต้องจินตนาการตัวอักษรที่เราอ่านให้เป็นภาพอยู่ในสมอง ท่านว่าเป็นการออกกำลังสมอง ช่วยชะลอสมองฝ่อได้ ลองเทียบดูก็ได้ว่าระหว่างการดูหนัง Harry Potter กับการอ่าน Harry Potter อย่างไหนต้องใช้สมองมากกว่ากัน

แล้วก็ท่องเที่ยวกับภรรยา ก็เป็นอีกอย่างที่เราชอบ แต่เนื่องจากเป็นห่วงคุณพ่อคุณแม่ ก็เลยไม่กล้าไปไกล ไม่ได้ไปท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือแม้แต่ไปท่องเที่ยวค้างคืนต่างจังหวัด ปีนี้ส่วนใหญ่ก็เลยได้แต่ไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ ช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หลังเกษียณก็จะได้ไปเที่ยววันธรรมดาบ้าง เมืองไทยทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล มีที่ท่องเที่ยวสถานที่สวยงามเยอะแยะมากมายที่ยังไม่ได้ไป บางทีเราไปเที่ยวต่างประเทศ ไปชมโบสถ์ฝรั่ง แต่หารู้ไม่ว่าวัดเมืองไทย สวยงามหยดย้อยไม่แพ้โบสถ์ฝรั่ง หรืออาจจะสวยงามอ่อนช้อยกว่าซะด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ วิหาร ฯลฯ แม้แต่วัดเล็กๆ หรือวัดที่ไม่ใช่วัดดังที่คนรู้จัก ก็ยังมีศิลปกรรมสวยๆ อยู่มากมาย เวลาไปเยี่ยมชมวัดเหล่านี้ บางครั้งเห็นแต่ชาวต่างชาติไปเยี่ยมชมกัน บางทีไม่เห็นคนไทยเลย นอกจากวัดก็ยังมีสถานที่สวยงามและน่าสนใจให้ไปท่องเที่ยวเยี่ยมชมอีกเยอะแยะ ที่เรายังไม่เคยไป ก็เลยกะว่า เกษียณแล้วก็จะได้ไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ แล้วยังสามารถไปวันธรรมดาได้ด้วย ไม่ต้องไปเบียดเสียดกับชาววัยทำงานทั้งหลาย ที่ได้เที่ยวเฉพาะวันหยุด เหมือนอย่างที่ ททท. เขาบอก ท่องเที่ยวทั่วไป ไม่ไปไม่รู้ อเมซิ่ง ไทยเท่

แล้วก็จะได้ออกกำลังกาย โดยเฉพาะเรื่องวิ่ง ผมมาเริ่มวิ่งเอาตอนอายุมากแล้ว คือตอนอายุเกือบจะ 50 ปี หลังจากหัวใจวายไปรอบนึง เคยวิ่งมาราธอนมา 4 ครั้งแล้ว สำหรับคนที่ไม่ใช่นักวิ่ง การวิ่งมาราธอนคือวิ่งระยะทาง 42.195 กม. หรือ 26.2 ไมล์ อย่างเช่นงานวิ่งกรุงเทพมาราธอน จะออก start จากสนามไชย แถวพระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว ขึ้นสะพานปิ่นเกล้า ไปทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี ไปสุดทางที่พุทธมณฑลสาย 2 แล้วก็ u-turn กลับมาขึ้นสะพานพระราม 8 ไปวนลานพระราชวังดุสิต พระบรมรูปทรงม้า อ้อมพระราชวังสวนจิตรลดา ไปจบที่สนามไชย และทุกวันนี้ก็ยังวิ่งสม่ำเสมออยู่ ผมวิ่งไม่เร็ว เพราะต้องคอยดู heart rate ไม่ให้ขึ้นสูงเกินไป ด้วยความเกรงใจหัวใจ และวิ่งสลับเดิน คือวิ่งสักพัก พอเริ่มจะเหนื่อย หัวใจเต้นเร็วเกิน ก็สลับมาเดินสักพัก แล้วค่อยวิ่งต่อ เรื่องวิ่งนี่ยาวววว ไว้จะค่อยๆ ทะยอยเล่า

ปั่นจักรยาน ก็เป็นอีกอย่างที่ชอบ เกษียณแล้วจะได้ไปปั่นจักรยานตามที่ต่างๆ กับภรรยา ภรรยาผมจะปั่นจักรยานเฉพาะสถานที่ปิด เช่นสวนสาธารณะที่ให้ปั่นจักรยานได้ ส่วนผมถ้าไปคนเดียว เส้นทางประจำคือเช้ามืดหรือเย็นๆ วันหยุด ที่รถยนต์ไม่ค่อยมาก ก็จะปั่นทางขนานถนนราชดำเนินเข้าเกาะรัตนโกสินทร์เป็นประจำ แต่เคยโดนรถแท็กซี่ชนกลิ้งไปหนนึง ก็เลยมีความใฝ่ฝันว่าหลังเกษียณแล้ว อย่างนึงที่อยากทำคือเป็น activist รณรงค์เรื่องความปลอดภัยของคนปั่นจักรยาน ทั้งที่ปั่นเพื่อออกกำลังกาย เพื่อสันทนาการ และเพื่อการสัญจรไปมา

อีกอย่างหลังเกษียณ จะได้มีเวลาไปตีกอล์ฟวันธรรมดา ซึ่งคงจะคนไม่แน่นมากแบบวันหยุด ที่ผ่านมาไม่ค่อยจะได้ไปเพราะกอล์ฟเป็นกีฬาที่กินเวลาพอควร ไม่เหมือนปั่นจักรยานหรือวิ่ง ชั่วโมงสองชั่วโมงก็พอแล้ว ในวัยทำงานมีเวลาแต่วันหยุด ก็อยากจะใช้เวลากับครอบครัวมากกว่าไปตีกอล์ฟ เพราะเวลาวันธรรมดาก็หมดไปกับการทำงานแล้ว แต่ช่วงไปทำงานที่อินโด ตีกอล์ฟเกือบทุกวันหยุด เพราะไม่รู้จะทำอะไร ตั้งแต่ย้ายกลับไทยยังไม่ได้ไปออกรอบสักครั้ง เกษียณแล้วไปตีกอล์ฟวันธรรมดาบ้าง น่าจะใช้เวลาไม่มากนักเพราะคนไม่มาก ก๊วนน่าจะไม่ติด หลายปีก่อนมีอยู่วันนึง เช้าอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปตีกอล์ฟ ภรรยาถามว่าทำไมใส่เสื้อโปโลแขนสั้นล่ะ แต่ก่อนเวลาไปตีกอล์ฟใส่เสื้อแขนยาวกันแดดไม่ใช่เหรอ ผมตอบเสียงแข็ง (ปากกล้าขาสั่น) กลับไปว่า สมัยนี้เค้าเลิกใส่แขนยาวตีกอล์ฟกันแล้ว เชย ไม่เห็นในทีวีเหรอ นักกอล์ฟ PGA เค้าใส่โปโลแขนสั้นกันทั้งนั้น เงียบไปนิดนึง ผมบอกไปละนะ หมุนตัวเตรียมเดินออกจากห้อง พลางได้ยินเสียงเปรยไล่หลังมาว่า “กีฬากอล์ฟนี่แปลกดีนะ แต่งตัวไม่เหมือนไปเล่นกีฬา แต่เหมือนแต่งตัวไปเที่ยว” คงไม่ต้องบอกนะครับว่าวันนั้นเพื่อนร่วมก๊วนรักผมมาก รุมกินผมกันอิ่มเอร็ดอร่อยกันทั่วหน้า

สมัยเรียนปริญญาตรีที่ ม. เกษตร บางเขน ภรรยากับผมเรียน เมเจอร์เดียวกัน คือ ชีววิทยา (Biology) พอเรียนจบปริญญาตรี ก็ได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ จาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในพิธิสมรสพระราชทาน จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่อเมริกาด้วยกัน ความตั้งใจตอนนั้นก็คือ จะไปต่อปริญญาโทไปจนถึงปริญญาเอก ด้านพันธุศาสตร์มนุษย์ (human genetics) แล้วก็จะกลับมาเป็นอาจารย์ที่ ม. เกษตร แต่แล้วก็จำเป็นต้องเบนเข็ม ในระหว่างที่เรียนปริญญาโทด้านชีววิทยาประชากร (population biology) ซึ่งใกล้เคียงกับ human genetics เพราะตอนที่สมัครไปมีอาจารย์ที่สอนวิชา human genetics ที่มหาวิทยาลัยนั้น ก็ตั้งใจว่าจะได้เป็นอาจารย์ที่ปรีกษา พอเดินทางไปถึงปรากฎว่าอาจารย์ท่านนั้นย้ายไปสอนมหาวิทยาลัยอื่นซะแล้ว เลยได้อาจารย์ด้าน population biology เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาแทน สมัยโน้น คือ ค.ศ. 1981 เทคโนโลยีการสื่อสารไม่เหมือนสมัยนี้ กว่าจะรู้ว่าอาจารย์ย้ายไปแล้วเราก็เดินทางไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยแล้ว ก็ยังคิดว่าไม่เป็นไร ไว้ไปเน้นตอนปริญญาเอก แต่แล้วก็ต้องเจอกับอุปสรรค เพราะผมเป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารเคมีต่างๆ ซึ่งจริงๆ ก็เริ่มออกอาการตั้งแต่ตอนเรียนปริญญาตรี และไปอาการหนักขึ้นตอนเรียนปริญญาโท ก็กัดฟันเรียนจนจบ แล้วก็ตัดสินใจว่า ถ้าจะไปต่อปริญญาเอกอีก ก็ต้องใช้ชีวิตในห้อง lab ต้องเจอกับสารเคมีต่างๆ อีกมากมาย ท่าจะไปไม่รอด เลยตัดสินใจเบนเข็มไปเรียนปริญญาโทอีกใบด้านการบริหารจัดการโดยเน้นที่การจัดการระบบสารสนเทศ (Systems Management with emphasis in Information Management System) ตอนจบโทใบแรกไปลาอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อไปทำโทอีกใบ ท่านอวยพรว่า หวังว่ายูจะไม่แพ้คีย์บอร์ดนะ ตอนนั้นถ้าจะต่อทางคอมพิวเตอร์เลย ก็จะโหดไปสักนิด เพราะไม่มีพื้นฐานที่แข็งแรงจากปริญญาตรี ก็เลยไปเรียน certificate ด้าน Business Data Processing คั่นซะปีนึงก่อน พอจบโทใบที่สองแล้วก็มาเริ่มทำงานที่บริษัท เริ่มที่ IT แล้วก็ผันไประบบการบริหารคุณภาพ (ตระกูล ISO 9000) เป็นอันว่าแทบจะไม่ได้ใช้ชีววิทยาที่ร่ำเรียนตรีโทมารวม 6 ปี จนผันไปทำเรื่องสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ค่อยได้รื้อฟื้นความรู้ทางชีววิทยาบ้าง เช่นเรื่องมลดภาวะ เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ หรือ biodiversity (ยุค digital ในปัจจุบัน พูดถึงเรื่อง ecosystem กันเยอะ คำนี้มีรากฐานมาจากชีววิทยาแหละ คือ ระบบนิเวศน์ กับ นิเวศน์วิทยาหรือ ecology ซึ่งเผอิญสมัยเรียนที่เกษตรผมเคยท็อปวิชานี้ซะด้วย) แล้วผันไปรับผิดชอบเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน (sustainable development หรือ SD) ไปทำเรื่อง strategic management (balanced scorecard) ผนวกกับ การพัฒนาองค์กร (organization development หรือ OD) เรื่อง coaching แล้วก็หันไปทำเรื่อง social business / social media พักนึง แล้วก็ไปทำเรื่อง SD ที่อินโดนีเซีย เป็นอันว่าเป็น ความหลากหลายในการทำงาน พอประมาณ รวมทั้งตลอดชีวิตการทำงาน ไม่เคยได้โยกย้ายไปแทนใครสักครั้ง เปิดหน้างานใหม่ทำงานเรื่องใหม่ๆ ตลอด ทำให้บ่อยครั้ง ที่ต้องไปค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ แล้วก็นำมาถ่ายทอดให้ความรู้ในบริษัท โดยเป็นวิทยากร และ กระบวนกร (facilitator) เป็นประจำ รวมทั้ง เป็น coach และ internal consultant ด้วย เป็นอันว่า ความตั้งใจเดิมที่จะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ก็ได้ทำหน้าที่คล้ายๆ อาจารย์ในบริษัทด้วย ก็เลยมีความคิดว่า หลังเกษียณอาจจะไปเป็นอาจารย์ หรือ วิทยากร หรือ facilitator หรือ coach หรือ consultant ตามแต่โอกาสจะอำนวย

ที่ว่าจะไปโน่นทำนี่ ทั้งหลายทั้งปวงนั้น หลักๆ แล้วจริงๆ ก็คืออยากจะพักแหละ ไม่ทำอะไร

แต่ก็มีคนเตือนว่า ถ้าไม่ทำอะไรระวังสมองฝ่อไวเกินควรนะ ในใจก็เคยคิดว่าเกษียณจากการทำงานแล้ว ก็คือการ shutdown (เหมือนปิดคอมพิวเตอร์) หรือ การปิดจ๊อบ เหมือนการจบการทำงานแต่ละชิ้น แต่ละโปรเจ็ค

แต่ก็มีอีกมุมมองคือ เกษียณแล้วต้อง shutdown ด้วยเหรอ

หรือว่าการเกษียณจากการทำงานที่บริษัทแล้ว ก็เสมือนการอ่านหนังสือจบไปบทหนึ่ง แล้วก็ถึงเวลาเริ่มต้นอ่านบทใหม่ หรือ open a new chapter in life ถ้าอย่างนั้นแล้ว บทใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นนี้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรดี

The best is yet to come . . .

Safety Tips – Sharing experience from being hit by a taxi from behind while cycling 141123 054910 แชร์ประสบการณ์ ถูกแท็กซี่ชนจากข้างหลังขณะปั่นจักรยาน

Safety Tips – Sharing experience from being hit by a taxi from behind while cycling 141123 054910

แชร์ประสบการณ์ ถูกแท็กซี่ชนจากข้างหลังขณะปั่นจักรยาน

 

ตอนแรกที่ทำ blog นี้ขึ้นมา ว่าจะแชร์ประสบการณ์การวิ่ง full marathon (ระยะทาง 42.195 กม.) ครั้งแรกในชีวิตเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2557 (2 สัปดาห์ก่อนอายุครบ 55) ว่าเตรียมตัวอย่างไร ตอนวิ่งเป็นอย่างไรบ้าง เผื่อว่านักวิ่งที่ยังไม่เคยวิ่งมาราธอนจะได้ประโยชน์ในการเตรียมตัว ก็เลยตั้ง subtitle ของ blog ไว้ว่า Courage to Start ซึ่งมาจากชื่อหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจให้กล้าลงวิ่งมาราธอนทั้งๆ ที่อายุก็เกิน 50 ไปพอควรแล้ว

 

แต่แล้ว

 

อาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2557 เวลา 05:49:10 น.

 

สัปดาห์หลังจากวิ่งมาราธอนสำเร็จครั้งแรกในชีวิต

 

ขณะกำลังปั่นจักรยานมาดีๆ

ผมถูกรถแท็กซี่ชนจากข้างหลัง !!!

 

เลยจำเป็นต้องพักเรื่องเขียนเกี่ยวกับเรื่องวิ่งเอาไว้ก่อน แล้วมาเขียนเรื่องจักรยานแทน

 

ดูจาก clip นี้ได้นะครับ ว่าผมถูกเขาชนอย่างไร

 

http://youtu.be/pbTv9lhWI4o

 

 

เช้าวันนั้น ผมนัดกับ น้องที่ทำงานไว้ โมงเช้าที่บริษัท เพื่อไปปั่นสำรวจเส้นทางเพื่อความปลอดภัยสำหรับงาน “5 ธันวา ปั่นถวายพระพร ซึ่งชมรมจักรยานนัดกันปั่นไปมณฑลพิธีท้องสนามหลวง เพื่อไปถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

 
 

เรานัดกัน คน

ผมกับเพื่อนสนิท ที่เรียนประถม ถึง ม.ศ. 5 (สมัยนี้คือ ม. ครับ) มาด้วยกัน เขาเป็นหมอสูติ บ้านอยู่ใกล้ๆ กันกับบ้านผม และ เพื่อนของหมออีกคนที่จะขับรถมาเจอกันที่บริษัท เหมือนกันน้องคนนั้น แล้วจะได้ปั่นจากบริษัทไปสำรวจเส้นทางด้วยกัน คน

 
 

ผมกับหมอ มาเจอกันแถวกระทรวงการคลังราว 05:45 น. แล้วก็ปั่นมาด้วยกัน คน ผมนำหน้า เขาตามหลังผมราว 1-2 เมตร บนถนนพระราม มุ่งหน้าจากสี่แยกตึกชัยไปสี่แยกประดิพัทธ์ จุดเกิดเหตุคือระหว่างร้านอาหาร T. House กับ อาคาร Tipco

 

 


 
 

ผมปั่นอยู่เลนซ้าย แต่ไม่ได้ชิดซ้ายสุด ประมาณขอบเส้นประของเลนซ้ายกับเลนกลาง ปกติผมจะปั่นชิดซ้ายเกือบติดฟุตปาธ แต่วันนั้น มีรถเครนจอดอยู่หน้าอาคาร Tipco ซึ่งเปิดไฟรถเครนสว่าง มีโคนสีส้มตั้งอยู่รอบรถเครน เพื่อให้คนเห็นชัด ตอนนั้นยังไม่สว่างดี แต่ไฟถนนก็สว่าง เนื่องจากผมเห็นว่ามีรถเครนจอดบังเลนซ้ายทั้งเลน ผมจึงปั่นประมาณเส้นประที่ว่า เพื่อว่าเมื่อใกล้ถึงรถเครน จะได้มองกระจกหลัง (ที่ติดไว้ที่แฮนด์ด้านขวา) ก่อน แล้วจึงเบี่ยงออกขวาได้
ก่อนถึงจุดเกิดเหตุ ก็มีรถแซงไปตามปกติ ทั้งเลนกลางและเลนขวา

 





 
 

ถ้าได้อ่าน blog ผมเรื่อง safety tips ปั่นจักรยานในเมือง

 

https://kidakorn.com/2014/12/12/safety-tips-biking-in-the-city-%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87/

 

 หรือ คนที่รู้จักผมดี ก็จะทราบว่าผม ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษ ไม่ว่าวิ่งหรือปั่นจักรยาน

 

เรื่อง หมวกกันน็อค ถุงมือ แว่นตา
ไม่ต้องพูดถึง ผมใส่ทุกครั้งที่ปั่นจักรยาน ไม่ว่าใกล้ไกลแค่ไหนก็นาม

 

นอกจากนั้น จักรยานผมมีทั้งแถบสะท้อนแสงตะเกียบคู่หน้า กระเป๋าใต้อานมีแถบสะท้อนแสง ตะเกียบหลังติดสติ๊กเกอร์สะท้อนแสง วงยางมีแถบสะท้อนแสงโดยรอบ เปิดไฟทั้งหน้าหลัง มีไฟหน้าติดแฮนด์ ซึ่งเป็นแบบสว่างตลอดและกระพริบถี่ๆ 3 ครั้งติดกัน ส่องลงพื้นข้างหน้าประมาณ 2-3 เมตร (ไม่แนะนำให้เปิดไฟหน้ากระพริบเวลากลางคืนนะครับ ทำให้เราเวียนหัว วัตถุประสงค์ของไฟหน้าคือให้เราเห็นทาง ซึ่งรถที่สวนเราก็เห็นด้วย รถข้างหน้าก็เห็นเราจากกระจกมองหลัง ไฟหน้ากระพริบใช้เฉพาะกลางวันเท่านั้นเพื่อให้รถสวนเห็นเรา หรือ รถข้างหน้าเห็นเราจากกระจกมองหลัง ส่วนไฟหลังวัตถุประสงค์หลักคือให้คนอื่นเห็นเรา)

ในรูปกล่องด้านหลัง จะเห็นว่า ไฟกระพริบที่เรียก DAYLIGHTNING นั้นให้ใช้กลางวันเท่านนั้น CAUTION: For daytime use only.

 

 



 

 

ด้านหลังผมเปิดไฟกระพริบสีแดงที่ตะเกียบหลังด้านขวา ด้านบนสุดของหมวกมีไฟกระพริบด้านหลังสีแดง ด้านหน้ากระพริบสีขาว ส่องไปไกลกว่าอันที่ติดแฮนด์

 



ใส่ถุงมือขาว ใส่ปลอกแขนสีขาวซึ่งมีโลโก้สะท้อนแสง ใส่เสื้อจักรยานสีขาว ซึ่งด้านหลังก็มีแถบสะท้อนแสงเช่นกัน4]

ด้านขวาที่มีรอยเปื้อนดำ คือตอนที่ไถลไปกับพื้นหลังถูกชน

 



 

 

แล้วยังใส่ผ้า buff ที่คอซึ่งก็มีแถบสะท้านแสงหน้า-หลัง


 

ประมาณว่าไม่เห็นก็ให้มันรู้ไป

 

อ่านตอนหลังจะทราบว่า คนขับแท็กซี่พี่แกบอกไม่เห็น(ว่ะ)

 

ส่วนเพื่อนผมก็จัดเต็มครบชุด มีไฟหน้าสีขาว มีไฟกระพริบสีแดงด้านหลัง มีกระเป๋าคาดเอวซึ่งด้านหลังมีแถบสะท้อนแสงขนาดใหญ่ เพื่อนผมบอกเราสองคนไฟอย่างกับต้นคริสต์มาส เห็นชัดเจนแต่ไกล

 
 

พอถึงจุดเกิดเหตุ ด้านหน้าผม ในเลนซ้ายสุด ไม่มีรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ ปั่นอยู่ดีๆ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว รู้แต่ว่าโดนกระแทกแล้วก็ล้ม ลื่นไถลไป
ไม่ตกใจครับ แต่งงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น รถอะไรมาชนเราได้อย่างไร รู้แต่ว่าเห็นชิ้นส่วนสีชมพูของกรอบกระจกมองข้างของรถกลิ้งอยู่ใกล้ๆ กับจักรยานที่กลิ้งไปข้างหน้าและไปกระแทกกับฟุตปาธ

 
 

วันผ่านไปหลังจากวันเกิดเหตุ ผมเข้าใจมาตลอดว่าคงโดยกระจกข้างของแท็กซีเกี่ยวแฮนด์ผมกระตุกจักรยานไปข้างหน้าแล้วผมหงายท้องลงไป หลังและก้นกระแทกพื้นและไถลไป จากที่ 2-3 วันหลังเกิดเหตุ ผมมีอาการเจ็บเคล็ดขัดยอกที่หลัง รวมทั้งดูจากรอยดำเปื้อนด้านหลังส่วนล่างๆ ของเสื้อ 

 

ส่วนเพื่อนที่ปั่นตามมา เล่าให้ฟังว่า เห็นแท็กซี่อยู่ๆ ก็เบี่ยงแถอย่างเร็วมาชนผม ยังไม่ทันจะได้ตะโกนเตือน ผมก็โดนชนไปแล้ว

 
 

5 วันหลังเกิดเหตุ จึงได้เทปวงจรปิดจากหน้าอาคาร Tipco ที่ท่านผู้บริหารของ Tipco ได้กรุณาให้เจ้าหน้าที่ copy ให้ จากที่ผมขอไปทางผู้ใหญ่ที่ผมนับถือท่านหนึ่ง เมื่อดูจาก CCTV จึงทราบว่า

 

แท็กซี่มาจากข้างหลังและเบี่ยงซ้ายดื้อๆ มาชนผมแบบเบียดๆ ผม

เหมือนเขากำลังเปลี่ยนเลนจากกลางมาซ้าย

 
 

นี่คือสาเหตุที่ในสัปดาห์แรกผมถึงเจ็บตรงสะโพกขวาด้วย สรุปว่ากระจกมองข้างของแท็กซี่ชนผมตรงสะโพกขวา
และผมไม่ได้ร่วงลงมาไถลไปเฉยๆ อย่างที่จำได้

 

ราวสัปดาห์เศษๆ ก็ได้ CCTV จาก กทม. มาอีกมุมกล้องหนึ่ง จึงเห็นได้ชัดเจนว่า แท็กซี่เขามาเร็วขนาดไหน
และผมไถลไปราว
4-5 เมตร ก่อนที่จะกลิ้ง 2 ตลบ

 

ยังโชคดีที่สันชาตญาณเก่าคงพอมีอยู่บ้าง เพราะตอนกลิ้งเก็บคอ (ก้มคอ) ไว้ตลอด แต่ถึงกระนั้น คอก็ยังถูกกระทบกระเทือนจนออกอาการที่นิ้วอยู่ดี

 

อีกอย่างที่เพิ่งเห็นเมื่อตอนได้ CCTV มา คือ ชายชุดดำที่เดินไปเดินมาอยู่บนถนนเลนซ้าย ตรงหน้าป้ายรถเมล์ ไม่ทราบว่ารอรถเมล์ หรือ รอเรียกแท็กซี่หรือมอเตอร์ไซค์ เลยจุดเกิดเหตุนิดเดียว ตอนที่ผมปั่นอยู่นั้นผมไม่เห็น ชายชุดดำคนนั้น คงเพราะกำลังโฟกัสอยู่ที่รถเครนข้างหน้า และ เตรียมที่จะมองหลังเพื่อจะเบี่ยงออกเลนกลาง แต่โดนชนซะก่อน ดูเหตุการณ์ประกอบกันจาก CCTV แล้ว พอจะสันนิษฐานได้ว่า คนขับแท็กซี่คนเห็น ชายชุดดำคนนั้นแล้วก็เลยรีบหักเบี่ยงซ้ายเพื่อโฉบไปรับผู้ที่คาดว่าจะเป็นผู้โดยสาร ลักษณะการที่แท็กซี่ ตุ๊กตุ๊ก มอเตอร์ไซค์ โฉบไปหาผู้โดยสารเนี่ย เชื่อว่าท่านก็คงได้พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง ปกติเวลาผมปั่นจักรยาน ก็จะระมัดระวังตัวเป็นพิเศษอยู่แล้ว เมื่อเห็นเขาแซงเราไปแล้วเบี่ยงซ้าย แต่ที่เคยประสบมาอย่างมากเขาก็ปาดหน้าเราไปรับผู้โดยสาร ไม่ใช่ปาดมาชนเราแบบนี้

 
 

แว๊บแรกหลังจากล้ม เจ็บหลังมาก แต่ก็พยายามค่อยๆ ลุกและไปนั่งพิงตรงฟุตปาธ เพื่อหลบรถราคันอื่นๆ ที่อาจตามมาชนซ้ำเอาได้ ส่วนเพื่อนก็หักหลบไปทางซ้ายและจอดจักรยานเขาไว้แล้ววิ่งมาหาผม ผมยังมีสติบ้างเนื่องจากยังไม่รู้สึกเจ็บอะไรมาก ไม่ได้หมดสติ และเขาเป็นหมอ ดูอาการผมแล้วพอไหว

 

ข้างล่างนี้ก็จะขอลำดับเหตุการณ์ พร้อมทั้งบทเรียนที่ขอแบ่งปันให้ท่านผู้อ่าน เพื่อความปลอดภัย ซึ่งไม่เพียงแต่สำหรับนักปั่นจักรยานเท่านั้น หลายๆ ข้อสามารถนำไปพิจาณาได้ไม่ว่านักวิ่ง หรือ นักเดินทาง

 
 

Lesson #1

 

ผมเลยบอกเพื่อนช่วย ถ่ายรูปทะเบียนแท็กซี่ ไว้ก่อนเป็นหลักฐาน

และมีรถเก๋งสีขาวหนุ่มสาวนั่งมาคู่หนึ่งหลังแท็กซี เขารีบจอดเปิดประตูมาช่วยผม และ บอกอย่ารีบลุก
เพราะไม่แน่ว่ากระดูกสันหลัง หรือ กระดูกอื่นหักหรือไม่ เขาดีมากๆ

 
 

Lesson #2

 

ผมให้เพื่อนขอ เบอร์โทรศัพท์ และ ชื่อ เขาไว้ อันนี้นำไปใช้ได้นะครับ เวลาเกิดอุบัติเหตุใดๆ ก็ตาม หาพยานไว้ก่อนครับ เผื่อเรื่องคดีความยาวภายหลัง

คนขับรถเครน ก็มาช่วยขวางแท็กซี่ไว้ คงกลัวคนขับหนี ทราบภายหลังว่าคนขับรถเครนพี่แกเป็นนักปั่นจักรยานเหมือนกัน

 
 

พอพากันเดินมาหาผม ผมถามคนขับแท็กซี่ว่ามาชนผมได้ไง เขาบอก ไม่เห็น ผมละงง

สันนิษฐานได้ 3-4 อย่าง

คงขับกะดึกมาทั้งคืน, หมดฤทธิ์ยา
หรือ หลับใน
หรือ มองหาผู้โดยสาร

เมื่อดูคลิป เพิ่งเห็นว่ามีคนเดินไปเดินมาอยู่เลนซ้าย ถ้าจะว่าเขามุ่งไปรับผู้โดยสารดูจากทิศทางแล้วถ้าแท็กซีไม่ชนผม ก็ชนคนนั้น หรือ เลยไปชนรถเครน

 

คนขับแท็กซี่คนนี้ไม่มีใบขับขี่ครับ มีแต่บัตรประชาชน อ้างว่าใบขับขี่ถูกตำรวจยึด แต่ก็ไม่ปรากฎว่ามีใบแทนใบขับขี่

 

และ เขาพูดจาแทบไม่ค่อยจะรู้เรื่อง
แต่ก็ไม่ถึงกับเหมือนเมา

แต่พูดไม่ค่อยจะรู้เรื่องจริงๆ อธิบายไม่ถูก

สภาพหน้าตาคนขับ ตอนตามไปเจรจาเรื่องประกันที่โรงพยาบาล ราว 4-5 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ
เพราะเขาสับสน พูดไม่ค่อยจะเข้าใจ หลงไป รพ.วิชัยยุทธคนละตึกกัน

หน้าตาเป็นอย่างนี้แหละครับ

 

 



 

เพื่อความไม่ประมาท ผมต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจเช็คว่าบาดเจ็บที่ไหนบ้าง

จึงโทรให้ภรรยาเอารถมารับ เพื่อจะได้เก็บจักรยานขึ้นรถ โทร บอกน้องกับเพื่อนที่นัดไปเจอกันที่บริษัท ว่าเกิดอุบัตุเหตุ ด้วยความเป็นห่วง น้องเขาเลยตามไปที่ รพ.
ส่วนเพื่อนของหมอ ขับรถมาที่เกิดเหตุ

 
 

Lesson #3

 

ไม่ควรปั่นคนเดียว เกิดเหตุไม่มีใครช่วย เวลาต้องไป รพ. ไม่รู้จะเอาจักรยานไปไว้ไหน 😉

จริงๆ แล้ว จะได้มี buddy นะครับ ช่วยเหลือกันได้

พอเก็บจักรยานขึ้นรถ ภรรยาก็ขับพาผมมาที่โรงพยาบาล

เพื่อนอีกคนก็ขับรถจากบริษัท มารับหมอเพื่อนผมเพื่อเก็บจักรยานเขาแล้วไปแจ้งความด้วยกัน

 
 

Lesson #4

 

ควรเขียนชื่อ นามสกุล เบอร์ฉุกเฉิน หมู่เลือด แพ้ยา ยาที่กินประจำ โรคประจำตัว รายละเอียดต่างๆ ติดตัวเราไว้ด้วย
เผื่อเราหมดสติ เขาจะได้ช่วยเราได้

ตัวอย่างบัตรแบบนี้ Emergency Medical Identification
นำไปปรับใช้ได้ครับ เหมาะกันนักวิ่ง นักปั่นจักรยาน คนที่เดินทางบ่อยๆ หรือ แม้แต่ติดตัวไว้ตลอดเวลาก็ดี ถ้ามีเด็กๆ ลูกหลาน ทำบัตรแบบนี้ติดตัวเด็กๆ ไว้ด้วยจะดีมาก

 


 


 

 
 

ในระหว่างที่ยังไม่ได้ไปโรงพยาบาล

คนขับแท็กซี่ที่ว่าพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง พยายาม โทรหาเถ้าแก่ โทรหาประกันก็ไม่สำเร็จ

 
 

Lesson #5

 

เพื่อนผมเลยขอบัตรประชาชนเขาไว้ ถ่ายรูปบัตรประชาชนไว้ และ ไปแจ้งความ
สน.บางซื่อ
 ให้แท็กซีขับตามไป ในขณะที่ภรรยาผมขับรถพาผมไป รพ.วิชัยยุทธ

 


 
 

Lesson #6

 

เข้าห้องฉุกเฉิน หมอสำรวจทีละอย่าง รู้สึกเจ็บหลังอย่างเดียว นอนยกขาซ้ายขวาได้ ไม่สลบ หัวไม่ฟาดพื้น มีสติตลอด จึงส่งไป x-ray หลัง เพื่อให้แน่ใจว่ากระดูกไม่หัก ผล OK

 
 

ราว 8 โมง หมอฉีดยาแก้ปวดและคลายกล้ามเนื้อ เข้าสะโพก ที่ไม่ฉีดเข้าเส้นเพราะผมแพ้ยาหลายอย่าง การฉีดเข้ากล้ามอันตรายน้อยกว่าเข้าเส้นหากแพ้ยา

 
 

ราว 9 โมง เริ่มเจ็บขาขวา ยกขาขวาไม่ขึ้น ทีแรกนึกว่าเจ็บขาหนีบหลังจากวิ่งมาราธานมาได้สัปดาห์นึง

จริงๆ แล้วคงเพราะถูกชนด้านขวา จึงไป x-ray ขาและสะโพกขวาเพิ่ม ผล OK

 
 

อันนี้หมอบอก มันจะค่อยๆ ระบมทีละอย่าง อะไรหนักสุดจะเกิดอาการก่อน คือ หลัง แล้ว ค่อยมา ขา

 
 

ออกจาก รพ ราว 11 โมง ก่อนออก หมอให้ใบมาสำรวจอาการทางสมองด้วย
เผื่อยังไม่ออกอาการทันที

 

 


 

 

กว่าแท็กซี เถ้าแก่ กับ ประกันจะมา ก็เกือบ 11 โมงแหละ ให้เขาเคลียร์ค่าใช้จ่ายกับ รพ.

 
 

Lesson # 7

 

ถ้ามีบัตรประกัน
พกติดตัวไปด้วย
 เผื่อจำเป็นต้องจ่าย รพ. ก่อน ปกติผมพกบัตรประกันของบริษัทติดตัว แต่เวลาปั่นจักรยานดันไม่ได้เอาไป เอาไปแต่เงินเล็กน้อยกับบัตรเซเว่นไว้ซื้อน้ำ

 
 

Lesson #8

 

ระหว่างอยู่โรงพยาบาล ผมพยายาม post Facebook เป็นระยะ
เพื่อเป็นการบันทึกหลักฐานในที่สาธารณเอาไว้ก่อน

ไม่งั้นผ่านๆ ไป เดี๋ยวก็ลืม จำเหตุการณ์ไม่ได้

 
 

นอนอยู่บ้าน 3 วัน อาทิตย์ จันทร์ อังคาร เพราะหมอให้พยายามนอนหงายไว้ อย่านั่งนานเพราะการนั่งเป็นการทารุณหลัง และ เคลื่อนไหวน้อยๆ

ห้ามออกกำลังกาย 1 อาทิตย์ อันนึ้ตลกดีครับ ปกติเราจะได้ยินหมอสั่งให้ออกกำลังกาย งานนี้หมอสั่งห้ามออกกำลังกาย 

 
 

อาการบาดเจ็บตอนนั้นคือ หลังยอก เจ็บโคนขาขวานิดหน่อย นิ้วนางและนิ้วก้อยขวายังชาๆ อยู่บ้าง ตรงคอมีรอยแดงจิ๊ดนึง คงเพราะซิบหน้าของเสื้อจักรยาน และขอโทษครับ แก้มก้นขวามีรอยขีดราว 1 ซม. เลือดไม่ไหล คงตรงที่โดยกระจกมองข้างซ้ายของแท็กซี่ฟาดเอา

 
 

นอกจากนั้น amazing ครับ ไม่มีแผลถลอกปอกเปิกทั้งๆ ที่กลิ้งและไถลไปกับถนนอย่างนั้น ไม่รู้โชค หรือ หนา!

 
 

แต่เข้าใจว่า ปลอกแขน (อย่างดี) คงช่วยไว้ได้บ้าง เพราะปลอกแขนขวามีรอยดำจากพื้นถนน

 

วันนั้นก็โชคดี เพราะใส่กางเกงจักรยาน Mountain bike คือ เป็นกางเกง 2 ชั้น ชั้นในแบบแนบเนื้อและมี chamois ที่เป้า ชั้นนอกเหมือนขาสั้นแต่เป็นผ้าหนาคล้ายๆ ผ้าใบ สำหรับลุยป่า คงช่วยรักษาบั้นท้ายไว้ได้ไม่ให้ถลอกปอกเปิกเช่นกัน แต่มีรอยครูดที่กางเกงแต่ไม่ถึงกับขาด
ในรูปจะเห็นเป็นสีชมพู นั่นแหละคือสีแท็กซี่ คงมาจากกระจกมองข้าง

 



 
 

ผมลอง search net ต่างประเทศดู เขาว่าจักรยานถูกรถชนได้หลายแบบ แบบที่โดนชนจากข้างหลังเนี่ยมีประมาณ 3.8% และ มักเกิดกับนักปั่นที่ไม่มีไฟท้าย/ไม่มีสะท้อนแสง ผมก็ว่าผมมีครบแล้วนา คงเพราะ กรรมเก่า หรือไม่ก็ ฟาดเคราะห์ หรือ ซวย ครับ เลยไปอยู่ใน น้อยกว่า 3.8% ซะอีก แต่สถิติประเทศไทยอาจต่างกันเพราะมีปัจจัยจากคนขับประเภทนี้ด้วย

 
 

Lesson #9 CCTV

 

มองหา CCTV ละแวกนั้นไว้ มักมีของ กทม. หรือ ของเอกชน ถ้าเป็นของ กทม. ก็ถ่ายรูปจดหมายเลขไว้ สามารถไปขอสำเนาได้
เพื่อเป็นหลักฐาน

 




 

Selfie ตัวเองไว้ ตอนนอนรอก่อนไป X-ray ลืมถอดแว่นจักรยาน

ออกจาก รพ. ราวๆ เที่ยง ไปพักที่บ้าน

 



 

หลังเกิดเหตุสัปดาห์นึง ปรากฎว่า อาการชาที่นิ้วนางและนิ้วก้อยขวา
เป็นมากขึ้น เลยกลับไปหาหมออีกครั้ง หมอให้
X-ray คอและแขน พบว่า กระดูกคอระหว่างข้อที่ 5 และ 6 ค่อนข้างแคบ เกิดจากเสื่อมหรือเคยอุบัติเหตุมาก่อน แต่ไม่เคยมีอาการผิดปกติ พอมาถูกชนครั้งนี้ แรงกระทบกระเทือนทำให้อาการหนักขึ้น เส้นประสาทเดินไม่สะดวก จึงมีอาการชา ต้องทำกายภาพบำบัด ด้วยการดึงคอ ครั้งละ 20 นาที 2 ครั้ง ต่อ สัปดาห์

 



 

 

หมอบอกว่า อย่างน้อยอีก 3 เดือน จึงจะดีขึ้น ในระหว่างนี้ ให้งดปั่นจักรยานในที่ขรุขระ ให้ปั่นแต่ทางเรียบๆ เป็นอันว่าหมดสิทธิ์นำ mountain bike ไปลุย single track และ งดวิ่งเร็ว อย่าเร็วกว่า 7 นาที/กม. เลยมีข้ออ้างเลย ว่า วิ่งเร็วไม่ได้นะครับ หมอห้าม แต่จริงๆ แล้ว ปกติก็วิ่งได้อย่างเร็วก็แค่นี้แหละ

 

เร็วๆ นี้ มีประกาศเกี่ยวกับการปั่นจักรยาน และ bike lane ควรปฏิบัติตามนะครับ

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2557/E/262/16.PDF

 

 



 



 

ถึงตอนนี้ 26 ธ.ค. 57 อาการที่หลังและขาปกติแล้ว ก็เหลือแต่นิ้วชาอย่างที่ว่า กลับไปปั่นจักรยานได้แล้ว แต่ด้วยความระมัดระวังมากขึ้นเป็นพิเศษ

และนอกจากยางสะท้อนแสงแล้ว เลยติดสติ๊กเกอร์สะท้อนแสงเพิ่มที่ซี่ล้อ และ รอบคันอีก ให้เห็นชัดๆ เข้าไปอีก

 


 

 



 

หวังว่าที่แชร์มานี้ ท่านจะได้รับประโยชน์นำไปประยุกต์นะครับ

 

ขอให้ทุกท่านปั่นปลอดภัย สนุก สุขภาพแข็งแรงนะครับ

Safety Tips: Biking in the City ปั่นจักรยานในเมือง

เห็นมีนักปั่นนิยมปั่นเล่นหรือปั่นมาทำงานในเมืองกันเยอะขึ้น ก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ขอแชร์บางเรื่องครับ (ส่วนใหญ่ applicable สำหรับปั่นจักรยานทั่วไปไม่ว่าในเมืองในป่าหรือที่ไหนก็ตามนะครับ)

อุปกรณ์ที่จำเป็น

หมวก – ไม่ต้องอธิบายนะ สำคัญสุด หาที่ได้มาตรฐาน เช่น CPSC (Consumer Product Safety Commission), ASTM F1447, Snell. เคยอ่านเจอว่าถ้าเคยล้มแล้วหมวกกระแทกพื้น ไม่ต้องเสียดายนะครับ ทำลายทิ้งซะแล้วซื้อใหม่ เพราะเราเบื่อใบเก่าอยู่แล้ว อยากได้ใหม่ เอ๊ย ไม่ใช่ครับ เพราะโครงสร้างข้างในได้รับผลกระทบจากการกระแทกทำให้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าเดิม ไม่ต้องเสียดายตังค์ครับ หัวเรามีค่ามากกว่าเยอะ อันนี้เคยมีประสบการณ์ตรง ราว 15 ปีที่แล้ว ปั่นลงสะพานข้ามคลองแล้วเลี้ยวซ้าย ช้าจัดด้วย ไม่ได้ปั่นเร็วเลย ค่อยๆ ปล่อยไหลลงไปด้วยซ้ำ เพราะยังเช้ามืดและเป็นทางลง ฝนก็ไม่ตก ถนนแห้ง แต่เราลืมสังเกตว่า มีรอยคล้ายน้ำเป็นทางอยู่ ล้อลื่นล้มตะแคงซ้ายแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวจริงๆ หัว (ที่ใส่หมวกไว้) ฟาดพื้นทางซ้าย เก็บคอไม่ทัน โชคดีที่ไม่มีรถทางตรงมา ปรากฎว่าไม่เป็นไรเพราะหมวกช่วยไว้ มาพบว่า รอยคล้ายน้ำนั้นคือน้ำที่หยดเป็นทางจากรถขยะที่เพิ่งผ่านไป ซึ่งก็แน่นอน น้ำขยะเป็นเมือกลื่นพอๆ กะน้ำคาวปลาแถวสมุทรสาครนั้นแหละ อีกอย่าง ปรับสายรัดคางให้พอดีด้วย ประมาณสอดนิ้วได้ 2 นิ้ว แน่นไปก็อึดอัด หลวมไปหมวกก็อาจหลุดไม่คุ้มครองกระโหลกเรา

ถุงมือ – ไม่ใช่เพียงแฟชั่น แต่เพื่อช่วยกริ๊ปและการควบคุม ปั่นไปนานๆ เหงื่อเราออก ถุงมือช่วยกันลื่น ช่วยลดแรงกระแทกบนฝ่ามือ เหมือนเป็น shock absorber นอกจากนั้น พลาดพลั้งล้มไปหรือเสียหลักจำเป็นต้องยึดเกาะอะไรบางอย่าง ถุงมือช่วยไม่ให้มืออันนิ่มนวลของเราถลอกปอกเปิกได้

แว่น – ช่วยป้องกันกรวด เศษผงเข้าตาเรา ควรใส่แว่นเสมอไม่ว่าปั่นจักรยานที่ใดเวลาใด มีแบบที่เปลี่ยนเลนส์ได้ด้วย ออกแดดก็สีเข้มกัน UV รุ่งสางกลางคืนโพล้เพล้ก็เปลี่ยนเป็นแบบใสได้ แว่นจักรยานสมัยนี้ขอบเลนส์มีรูระบายอากาศกันเป็นฝ้าด้วย เช่น ของ Rudy Project หรือ Oakley

ไฟฉาย – อย่างน้อยมีไฟหน้าติดแฮนด์ ไฟหลังติดหลักอาน นิยมที่ปรับได้ทั้งแสงธรรมดาและกระพริบ ทำให้เห็นชัดดี ขอแนะนำว่าเปิดไฟจักรยานทั้งกลางวันกลางคืนแหละครับ ไม่ต้องเปิดเฉพาะกลางคืน มอเตอร์ไซค์เขาคันใหญ่กว่าเราตั้งเยอะเขายังเปิดไฟทั้งวันทั้งคืนเลย เราเปิดไฟไว้คนขับรถขับมอร์ไซค์เขาจะได้เห็นเรา ไฟติดบนหมวกก็เข้าท่า มีสาย Velcro รัดกับหมวกแล้วก็มีที่สำหรับติดไฟชิ้นเดียวเป็นทั้งไฟหน้าไฟท้าย อยู่บนหัวก็สูงหน่อยผู้คนเห็นเราชัดดี เดี๋ยวนี้มีไฟแบบที่เป็น USB charge ได้ สว่างจัด ไม่ต้องใส่ถ่านแล้วทิ้งเป็นขยะกระทบสิ่งแวดล้อมอีกต่างหาก

เวลาปั่นกลางคืน ไฟหน้าควรเป็นสีขาวแบบสว่างตลอด ไม่ใช่กระพริบ เพราะประโยชน์หลักคือให้เราเห็นทางข้างหน้า เห็นหลุมบ่อ ฝาท่อระบายน้ำ ประโยชน์รอง คือ ให้รถที่สวนมาเห็นเรา ไฟหน้ากระพริบนั้นใช้เฉพาะเวลากลางวัน ให้รถที่สวนมาเห็นเรา ถ้ามาใช้กระพริบกลางคืน ปั่นๆ ไปอาจเวียนหัวได้

ส่วนไฟหลัง ควรเป็นสีแดงแบบกระพริบ  อันนี้ประโยชน์หลักอย่างเดียวคือให้ข้างหลังเห็นเรา

กระจกมองหลัง – ควรมีไว้อย่างยิ่ง อันเล็กๆ ติดที่ปลายแฮนด์ด้านขวา จะได้เห็นรถหลัง เวลาเราจะเลี้ยว จะเบี่ยง จะออกตัว

เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ

ยกขาซ้าย – เวลาเราชะลอชิดซ้ายปล่อยบันไดฟรี ควรยกบันไดซ้ายสูงสุดไว้ จะได้สูงพ้นไม่ชนฟุตปาธข้างซ้ายให้เราเสียหลักและเสียฟอร์ม แต่ถ้าขี่ MTB บน single track เวลาปล่อยฟรีมักนิยมซ้ายขวาสูงเสมอกันเพื่อป้องกันการเกี่ยวเศษไม้หินลอย ส่วนตัวผมนิยมเอาบันไดซ้ายไว้หน้า เพราะใส่ clipless เราถนัดขวาเวลาเราออกตัวใช้แรงดึงขึ้นจากขาขวาแล้วถีบไปข้างหน้าได้พลังมากกว่าถีบไปข้างหน้าอย่างเดียว ที่นักปั่นนิยมใช้บันได clipless ก็เพราะมีแรงดึงจากข้างหลังเพิ่มเติมจากแรงถีบไปข้างหน้าช่วยผ่อนแรงให้เราถีบเป็นวงกลมไม่ใช่ถีบลงอย่างเดียว แต่สำหรับมือ (เท้า) ใหม่ ต้องฝึกใส่ถอดให้คล่องเสียก่อน ไม่งั้นฉุกเฉินสบัดออกไม่ทัน ล้มเจ็บตัว และเสียฟอร์มเจ็บใจอีกต่างหาก

ปั่นช้า – ว่างๆ ลองนัดกันเพื่อแข่งกันปั่นช้าดู แข่งกันช้านะ ไม่ใช่แข่งความเร็ว เช่น กำหนดระยะไว้สัก 20 เมตร แล้วแข่งกันว่าใครจะไปถึงช้ากว่ากันโดยเท้าไม่แตะพื้น อันนี้เป็นการฝึกการทรงตัว เวลาเราปั่นในเมือง มีโอกาสต้องชะลอ ต้องหยุดไฟแดง หรือ ชะลอรอรถข้างหน้าที่ทำท่าจะจอด หรือ ทำท่าจะออกมา เราฝึกปั่นช้าไว้จะได้ทรงตัวได้ดีระหว่างรอจังหวะออกตัว เคยเห็นคนปั่น MTB บางคนเขาสามารถบีบเบรคไว้แล้วทรงตัวรอไฟแดงอยู่นิ่งๆ ได้โดยไม่ต้องใช้เท้ายันพื้นสักข้าง อันนี้ข้าพเจ้ายังไม่สามารถครับ

รอรถเมล์จอดป้าย – อันนี้คงทราบกันนะ แต่ก็ขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่ประมาทไปหน่อย ตอนขี่ MTB ออกถนนครั้งแรกราว 17-18 ปีที่แล้ว ก็ปั่นไปสนามหลวง พอไปถึงราชดำเนินแถวๆ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เห็นรถเมล์จอดป้าย ด้วยความเคยชินจากการขับรถ เราก็ปั่นแซงทันที พอแซงไปได้สักครึ่งคันรถเมล์ พี่แกก็เบนขวาออกจากป้ายไม่สนใจเราซักนิ้ด เบรคตัวโก่งและหักหลบขวาทันที ดีที่ไม่มีรถขวา จากนั้นมา จำใส่ใจ รถเมล์จอดป้ายเราก็จอดรอเขาเหอะ อย่ารีบร้อน และไม่ควรแซงซ้ายด้วย เด๋วชนคนขึ้นลงรถเมล์

อุปกรณ์อื่นๆ

ผ้า Buff – เรียกกันจนเป็น generic name แล้ว จุดเริ่มต้นมาจากยี่ห้อ Buff ของประเทศ Spain ซึ่งเป็นผ้าทรงท่อ (tube) ใช้งานได้สารพัดรูปแบบประมาณผ้าขาวม้าแบบนั้น สวมคอกันหนาว กันแดด โพกหัว พันข้อมือเป็น wrist band ไว้เช็ดเหงื่อเวลาวิ่ง ฯลฯ เดี๋ยวนี้มีมากมายหลายหลายยี่ห้อ ประโยชน์สำหรับนักปั่นคือ กันแดดที่คอและดึงขึ้นมาปิดหน้ากันแดดได้ด้วย รุ่นที่กัน UV ยิ่งดี อีกอย่างคือเวลาดึงมาปิดปากปิดจมูก ช่วยกันฝุ่นกันไอเสีย เวลาไปจอดหลังรถเมล์ตอนเขาเร่งเครื่องออกรถถ้าไม่มีผ้า buff ปิดปากปิดจมูกละก็ สูดเข้าไปเต็มๆ บางรุ่นมีแถบสะท้อนแสง 2 แถบด้วย หมุนผ้าให้แถบอยู่หน้าอันนึงหลังอันนึง ช่วยเรื่อง visibility ให้ผู้ร่วมทางเห็นเราได้ชัดขึ้น เพิ่มความปลอดภัยอีกต่างหาก บางรุ่นเห็นเขาโม้ว่าผ้าบางจัดสามารถดื่มน้ำจากกระติกน้ำทะลุผ้าได้โดยไม่ต้องดึงผ้าลง อันนี้ยังไม่เคยลอง บางรุ่นมีเจาะรูสองข้างไว้คล้องหูกันผ้าเลื่อนลงมาคออีก เคยลองใช้แต่ไม่ถนัดแฮะ เพราะของ buff ดั้งเดิมไม่ต้องคล้องหูก็ไม่เห็นมันจะเลื่อนลงมาเลย ก็ปิดปากปิดจมูกดีอยู่

กางเกงจักรยาน – ที่เขามีนวม (pad) บุไว้ด้านในก็เพื่อลดความบอบช้ำของบั้นท้ายเราจากการที่โดนอานกระแทกกระทั้น มีทั้งกางเกงจักรยานรัดรูปแบบปกตินุ่งตัวเดียวได้เลย และ กางเกงแบบบางหน่อยไว้ใส่เป็น lining ด้านในแล้วใส่ กางเกงปกติทับอีกที สำหรับท่านที่ใส่กางเกงจักรยาน ไม่ว่าผู้ชายผู้หญิง ขอบอกว่าไม่ต้องใส่ กกน. ไว้ข้างในนะครับ เพราะ (1) pad ที่เป็น chamois นั้นเขาทำไว้ให้ไม่มีตะเข็บและซับเหงื่อรับแรงกระแทก ถ้า กกน. เราเป็นแบบมีตะเข็บ ดันไปใส่ไว้ข้างในกางเกงจักรยาน ปั่นไปนานๆ ตะเข็บจะเป็นที่ระคายเคืองต่อผิวหนังอันแสนจะ sensitive บริเวณจุดซ้อนเร้นของเรา อาจเป็นผื่นหรือถลอกได้ และ (2) ผ้ากางเกงจักรยานที่ดีหน่อย เป็นผ้าที่ช่วยซับและระบายเหงื่อ แต่ กกน. เราที่ไม่ใช่เป็น กกน. สำหรับ sports ก็จะไม่ซับเหงื่อ ทำให้บั่นทอนประสิทธิภาพของผ้ากางเกงจักรยานซะอีก ใหม่ๆ นุ่งกางเกงจักรยานตัวเดียวไม่นุ่ง underwear อาจรู้สึกโหวงๆ แต่ไปๆ ก็จะชินไปเองแหละครับ

สายรัดขากางเกง – นักปั่นในเมืองที่ใส่ขายาวเช่นปั่นมาทำงาน หรือ commute ไปไหนมาไหน ระวังปลายขากางเกงไปพันกะโซ่หรืออื่นๆ อันตรายครับ แก้ไขได้สองอย่างคือ 1. ยัดปลายกางเกงไว้ในถุงเท้า หรือ 2. หาสายรัดที่มี Velcro มารัดปลายขากางเกงไว้ซะ หรือ แถบรัดแบบที่เป็นแผ่นบางๆ ปกติจะแบนๆ ตรงๆ พอเอามาพันขาก็จะม้วนตัวรัดขาเราไว้พอดี ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาเรียกแถบพวกนี้ว่าไง แต่พวกนี้มักเป็นสะท้อนแสงด้วย ช่วยเพิ่ม visibility ให้ปลอดภัยอีกต่างหาก ยิ่งพันตรงตาตุ่มเวลาถีบบันไดเคลื่อนไหวยิ่งทำให้รถราข้างหลังเห็นเราได้ชัดขึ้น สายรัดหรือแถบรัดสะท้อนแสงเนี่ย เวลาผมปั่นหรือออกไปวิ่งตอนนเช้ามืด หรือกลางคืน ผมจะใส่ไว้ตลอดให้ชาวบ้านเห็นเราได้ชัดๆ

ปลอกแขน – ถ้าเป็นรุ่นกัน UV ยิ่งดี ไว้กันแดดเวลาปั่นกลางวัน ส่วนเวลากลางคืน ถ้าใส่สีขาวก็ช่วยให้คนเห็นเราชัด บางยี่ห้อ ที่โลโก้เป็นสะท้อนแสงด้วย รุ่นที่ดีๆ หน่อย เวลาเราเกิดอุบัติเหตุยังช่วยป้องกันไม่ให้แขนถลอกปอกเปิก

อุปกรณ์ 4 รายการนี้ ถือเป็นอุปกรณ์เสริม เพื่อสุขภาพและความปลอดภัย เป็น optional มีก็ดี ไม่มีก็ได้ แต่ 5 รายการข้างบน หมวก ถุงมือ แว่น ไฟฉาย กระจกมองหลัง อันนี้ถือเป็น mandatory ต้องมีไว้นะครับ เพื่อความปลอดภัย

แถมเรื่องเบรคนิดนึง default คือเบรคขวาล้อหลังเบรคซ้ายล้อหน้า เขาทำไว้สำหรับคนถนัดขวา เวลาเบรคก็เริ่มจากมือขวาตามด้วยซ้ายติดๆ กัน อย่าเบรคข้างเดียว ถ้าเบรคขวาอย่างเดียวล้อหลังล็อคก็ท้ายปัด เบรคซ้ายอย่างเดียวล้อหน้าล็อค ก็จะเกิดอาการล้อหลังแซงล้อหน้าทางดิ่ง คือตีลังกาแหละครับ เสียฟอร์ม เจ็บตัว เสียตังค์ซื้อหมวกใบใหม่ที่เรากำลังเล็งไว้อีกต่างหาก ถ้าไปยืมรถชาวบ้านขี่หรือไปเช่าจักรยาน ก็เช็คก่อนนะครับ ว่าเบรคข้างไหนล้อหน้า ข้างไหนล้อหลัง บางทีเขาติดไว้ไม่เหมือน default ที่ว่า

การปั่นในเมืองก็ขอให้ปฏิบัติตามกฎจราจรนะครับ ชิดซ้าย รอติดไฟแดง เหมือนยานพาหนะอื่นไว้นะครับ ศึกษาสัญญาณมือสำหรับจักรยานไว้ด้วย

นอกจากนั้น ไม่ควรปั่นคนเดียว ถ้าให้ดีไปเป็นกลุ่ม หรือ อย่างน้อย 2 คนก็ยังดี ไปกันหลายคัน รถเห็นเราได้ชัดขึ้น และ หากเกิดอุบัติเหตุ เพื่อนช่วยเหลือกันได้

หากเกิดอุบัติเหตุ เช่น ถูกรถเฉี่ยวชน ก็ควรถ่ายรูปสถานที่ ถ่ายรูป คู่กรณี ทะเบียนรถ ใบขับขี่ บัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ ฯลฯ ไว้ ถ้ามีพยานก็ขอชื่อขอเบอร์โทรเขาไว้ และ สังเกตว่าแถวนั้นมีกล้องวงจรปิด หรือ CCTV ไหม ถ้าในกรุงเทพฯ ก็มักมี CCTV ของ กทม. หรือ ของเอกชน จะได้หาเทปมาเป็นหลักฐานหากเป็นคดีความกัน

ถ้ามีทำประกันอุบัติเหตุไว้ หรือ มีบัตรประกันของบริษัท พกติดตัวไปด้วยเวลาไปปั่น อาจใส่กระเป๋าเล็กๆ แบบกระเป๋านามบัตร และ ใส่ซองพลาสติก Ziploc กันน้ำกันเหงื่อ ซอง Ziploc มีขายตามตลาด เช่น อตก. ขนาดที่เหมาะสมใช้ใส่มือถือ กันเหงื่อกันน้ำได้ด้วยเวลาไปปั่นจักรยาน หรือ ไปวิ่ง

ควรเขียนชื่อ นามสกุล เบอร์คนติดต่อกรณีฉุกเฉิน หมู่เลือด แพ้ยา ยาที่กินประจำ โรคประจำตัว รายละเอียดต่างๆ ติดตัวเราไว้ด้วย หรือ ทำเป็นบัตรเท่าๆ กับบัตรเครดิต แล้ว เคลือบพลาสติกติดตัวไว้ เช่น

Emergency Med ID - Thai  Emergeycy Med ID - Eng

ขอให้ทุกท่านปั่น สนุก ปลอดภัย สุขภาพแข็งแรงนะครับ